ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข่าวคราวของโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรของรัฐบาล
ปรากฏในสื่อแขนงต่าง ๆ ไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อหนังสือพิมพ์ อาทิ
"จำนำข้าวอีสานยังกร่อยเกษตรกรยังไม่เก็บเกี่ยว (คมชัดลึก 3 พฤศจิกายน
2551)" "บีบ 4 แบงก์รัฐปล่อยกู้รับจำนำข้าว 1.1 แสนล้าน (3 พฤศจิกายน
2551) "พาณิชย์กวดเข้มวัดความชื้นข้าวรับจำนำ (ไทยรัฐ 1 พ.ย. 2551)"
"สุรินทร์พร้อมรับจำนำข้าวเปลือก (สยามรัฐ 30 ตุลาคม 2551)"
มาถึง ณ นาทีนี้
ผมเชื่อว่าพี่น้องเกษตรกรแทบทุกคนของประเทศเราต่างคุ้นเคยกับโครงการรับจำนำที่ว่านี้เป็นอย่างดี
เนื่องจากรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมาได้ใช้โครงการรับจำนำนี้เป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร
ผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภท/ชนิด ต่าง ๆ เช่น ข้าวเปลือก กุ้ง มันสำปะหลัง
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กาแฟ เป็นต้น
(ดูรายละเอียดของโครงการรับจำนำในรายสินค้าประเภท/ชนิดต่าง ๆ
ได้ในเว็บไซต์ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ www.dit.go.th ครับ)
โดยตามหลักการของโครงการรับจำนำแล้ว เมื่อเกษตรกรนำสินค้าของตนมาจำนำไว้กับภาครัฐตามราคาขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนด
เกษตรกรมีสิทธิที่จะไถ่ถอนสินค้าของตนคืนไปได้ ภายในระยะเวลากำหนดไถ่ถอน
ยกตัวอย่างในสินค้าข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2551/2552
รัฐบาลได้กำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2551/2552 ที่ความชื้น 15%
ชนิดข้าวเปลือกหอมมะลิ สีได้ต้นข้าว 42 กรัม
ราคาตันละ 15,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้านาปี 100% ราคาตันละ 12,000 บาท
และข้าวเปลือกเหนียว 10% ชนิดคละ ราคาตันละ 9,000 บาท
โดยกำหนดให้มีระยะเวลาการไถ่ถอน = 120 วัน (มติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ
กขช. ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว)
นอกเหนือไปจากโครงการรับจำนำตามปกติ คณะกรรมการ กขช.
ยังได้มีมติกำหนดการดำเนินการให้สิทธิขายข้าวเปลือกล่วงหน้าแก่เกษตรกร
โดยเกษตรกรที่จดทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีสิทธิขายข้าวเปลือกล่วงหน้าให้กับหน่วยงานดำเนินการ
ได้แก่ ธ.ก.ส.
เพื่อสร้างหลักประกันในด้านรายได้แก่เกษตรกรในราคาไม่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำที่กำหนด
โครงการในลักษณะนี้ที่ให้สิทธิการขายล่วงหน้าแก่เกษตรกร
เป็นโครงการช่วยเหลือเกษตรกรในลักษณะการประกันราคาขั้นต่ำให้แก่เกษตรกร
โดยเกษตรกรจะได้รับราคาขั้นต่ำตามที่นโยบายกำหนด ซึ่งการดำเนินการนโยบายแบบนี้มิใช่ของใหม่แต่ได้มีการดำเนินการมาในต่างประเทศ
เช่น ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก และ บราซิล มาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว
(ดูรายละเอียดได้ในเอกสารเรื่อง "โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 2547-2548
และทางเลือกในการใช้กลไกตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า" โดย ดร.ชัยพัฒน์ สหัสกุล)
โดยตามศาสตร์ทางการเงินแล้ว การให้สิทธิดังกล่าว เสมือนได้ว่า
ภาครัฐได้แจกตราสารอนุพันธ์ตระกูลของ Put Options ให้แก่เกษตรกรผู้ร่วมโครงการ
(ต่อไปจึงขอเรียกโครงการนี้ว่า "โครงการแจก Put Options")
โดยเมื่อครั้งใด หากมีกล่าวถึงคำว่าตราสารอนุพันธ์ หรือ Derivatives แล้ว หลายคนคงจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเข้าใจยาก
มีสอนแต่ในห้องเรียนในหลักสูตรการเงินในระดับปริญญาตรีขึ้นไปเท่านั้น
ในบ้านเราก็มีตลาดที่ชื่อว่า "ตลาดอนุพันธ์" หรือ
ที่รู้จักกันดีในนามของ TFEX (Thailand Futures Exchange) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายอนุพันธ์เกี่ยวกับตราสารทุน
ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆ ภายใต้พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
พ.ศ.2546
ตราสารอนุพันธ์ที่นิยมพูดถึงกันใช้กันแบ่งออกเป็นได้ 3 ประเภท ได้แก่
สัญญาล่วงหน้า (Futures and Forward) สัญญาสิทธิ (Options) และ สัญญาแลกเปลี่ยน (Swap) ซึ่งอาจจะทำการค้าขายกันผ่านตลาดล่วงหน้า
(Derivatives Exchange) เช่น
ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) หรือ TFEX
หรือ จะทำการตกลงกันเองนอกตลาด หรือ ที่เรียกกันว่า Over The
Counter (OTC) ก็ได้
ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ในตลาดล่วงหน้าก็เช่น เช่น Futures ของยางพารา (RSS3 Futures) ใน AFET
หรือ SET50 Index Futures และ SET50 Index Options ใน TFEX
ซึ่งจะมีสำนักหักบัญชีรับผิดชอบความเสี่ยงของการผิดนัดคู่สัญญา
โดยจะทำตัวเป็นผู้ซื้อให้กับผู้ขาย และผู้ขายให้กับผู้ซื้อ
ให้กับทุกสัญญาที่กระทำผ่านตลาด
แต่กรณีของโครงการแจก Put Options นี้
ถือได้ว่าเป็นตราสารอนุพันธ์ที่รัฐบาลเป็นผู้ออกสัญญา และเกษตรกรเป็นผู้รับสัญญา
จึงถือว่าเป็นตราสารอนุพันธ์ Put Options แบบ OTC ที่กระทำโดยไม่ผ่านกระบวนการตลาดสินค้าล่วงหน้า
Put Options ในที่นี้ คือ สิทธิในการขายสินค้า ณ ราคา
ระยะเวลา ที่กำหนดไว้ในสัญญา ในทางตรงกันข้าม Call Options คือ
สิทธิในการซื้อสินค้า ณ ราคา ระยะเวลา ที่กำหนดไว้ในสัญญา
หากในกรณีที่ราคาสินค้าตกลงมาต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ผู้ถือ Put Options ก็ยังมีสิทธิจะได้ขายสินค้าของตนได้ในราคาใช้สิทธิ และ/หรือ
ในบางกรณีอาจจะขอรับชดเชยเป็นเงินได้จากผู้ออก Options นั้น
ๆ แล้วแต่เงื่อนไขที่ระบุไว้ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับพี่น้องเกษตรกรไทย
ที่อาจจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ "โครงการรับจำนำสินค้าเกษตรแบบเดิม"
แล้ว เกษตรกรหลายท่านอาจจะมองว่าโครงการรับจำนำกันแบบเดิมนี้เข้าใจง่ายกว่า
"โครงการแจก Put Options" ที่ว่านี้
แต่หากใครได้มีโอกาสอ่านบทความวิชาการเรื่อง "บริหารโครงการจำนำข้าว
ใช้ต้นทุนสี่บาทห้าสิบ" ของ ท่านอาจารย์ ศ.ดร.อัญญา ขันธวิทย์
(เพื่อร่วมฉลองวันครบรอบ 70 ปีของการสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวันครบรอบ 66
ปีของการสถาปนาคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 1 กันยายน
2547) ก็ได้พบว่า "โครงการรับจำนำสินค้าเกษตรแบบเดิม" มีความซับซ้อนกว่า
"โครงการแจก Put Options" มากนัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น