วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อเมริกันปรับตัวอย่างไรในช่วงเวลาวิกฤต

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 11 มิถุนายน 2552

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วกันนะครับว่า โลกของเรากำลังเผชิญกับปัญญาวิกฤตเศรษฐกิจที่ว่ากันว่าวิกฤตที่สุดในรอบ 100 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ได้พยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐอย่างมโหฬารแทบจะไม่เคยปรากฏมาก่อน ส่งผลให้ประเทศสหรัฐต้องขาดดุลงบประมาณเป็นจำนวนมาก จนเกิดความกังวลกันทั่วไปว่าประเทศสหรัฐจะถูกปรับลดมุมมอง (Outlook) ด้านอันดับเครดิต (Credit Rating) เหมือนอย่างที่ประเทศอังกฤษได้ถูกปรับลดมุมมองด้านอันดับเครดิตมาแล้วหรือไม่ (S&P ประกาศลดมุมมองด้านอันดับเครดิตของประเทศอังกฤษลงจาก Stable มาเป็น Negative เมื่อเดือนที่แล้ว)

ด้านนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Federal Reserve (Fed) ก็พยายามแก้ปัญหาด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เริ่มด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate) ตามมาด้วยวิธีการที่เรียกว่า Quantitative Easing ที่จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว และ พันธบัตรที่เรียกว่า Agency Mortgage-backed Sercurities การที่ธนาคารกลางสหรัฐออกมาทำอย่างนี้เสมือนเป็นการการพิมพ์เงินออกมาอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้ราคาของพันธบัตรที่เป็นเป้าหมาย มีราคาที่สูงขึ้นส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรให้อยู่ในระดับที่ต่ำ ๆ (เมื่อราคาพันธบัตรปรับตัว (Bond Price) สูงขึ้น อัตราผลตอบแทน (Yield) นั้นย่อมลดต่ำลง)

ทั้งนี้ Fed มีวัตถุประสงค์จะกดให้อัตราดอกเบี้ยในการผ่อนบ้าน (Mortgage Rate) ให้ต่ำๆ เพื่อเป็นการประคับประคองภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ ที่ฟองสบู่ได้แตกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (เนื่องจากธนาคารต่าง ๆ ในสหรัฐมักจะใช้ Yield ดังกล่าวเป็นตัวอ้างอิงในการกำหนดดอกเบี้ยสำหรับ Mortgage Rate)

Timothy Geithner รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้เดินทางไปเยือนประเทศจีนเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2552 เพื่อยืนยันกับจีนว่านโยบายที่สหรัฐได้ดำเนินการไปและดำเนินการอยู่นั้นถูกทางแล้ว สหรัฐตอนนี้ต้องเอาใจจีนเป็นพิเศษเนื่องจาก ณ เดือนมีนาคม 2552 จีนได้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน (U.S. Treasury Bond) อยู่ถึงประมาณ US$768,000 ล้าน (ประมาณกว่า 26 ล้านล้านบาท) ในโอกาสเดียวกันนี้ได้ตอบคำถามหลังการกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งว่า “ทรัพย์สินของจีนที่อยู่ในรูปของเงินดอลล่าร์มีความปลอดภัยอย่างยิ่ง” ซึ่งคำตอบนี้ได้เรียกเสียงหัวเราะจากทั้งห้องประชุมที่ผู้เข้าฟังซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เริ่มจะลดลงไปเรื่อยของนานาประเทศที่มีต่อสกุลเงินดอลลาร์ จากการดำเนินนโยบายด้านการคลังและการเงินของสหรัฐในขณะนี้ (รายละเอียดติดตามใน Geither tells China its dollar assets are safe Reuters, June 1st 2009)

ขอย้อนกลับมาพิจารณาที่ระดับ Micro นะครับ พบว่าในช่วงเวลาวิกฤตอย่างนี้ ยังมีสินค้าบางชนิด/ประเภทในสหรัฐยังคงมียอดขายที่เพิ่มขึ้น เช่น ช็อกโกแล็ต อาหารกึ่งสำเร็จรูป ทีวีจอแบน เมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัว ถุงยางอนามัย ไวน์ราคาถูก รองเท้าวิ่ง ยาและวิตามิน อุปกรณ์ซ่อม/บำรุงรักษารถยนต์ ปืน และ ทองคำ เป็นต้น (รายละเอียดติดตามใน Bucking the recession: Sales of chocolate, running sneakers, Spam, plant seeds, cheaper wines AP, May 16th 2009 และ The Recession, Wal-Mart Style, New York Times, June 6th 2009)

โดยถึงแม้ว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่ตัดรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เลื่อนการซื้อรถยนต์คันใหม่ ออกไป แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงใช้จ่ายสินค้าที่สามารถสร้างความสุขให้กับตนเองได้ที่บ้าน เช่น ช็อกโกแล็ต หรือ อาหารกึ่งสำเร็จรูปจำพวก พิซซ่า หรือ Macaroni ที่ซื้อกับมารับประทานที่บ้าน

สังเกตุจากบริษัท Hershey ผู้ผลิตช็อกโกแล็ตรายใหญ่ ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 20 % ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 และ บริษัทผลิตอาหารอย่าง Kraft Foods ก็ได้รายงานถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในผลิตภัณฑ์อาหารจำพวก Macaroni และ Cheese Dinners

สินค้าที่สร้างความสุขในบ้าน เช่น ทีวีจอแบนและหนังแผ่นก็ยังขายดี เช่นเดียวกันกับ เมล็ดพันธุ์พืชสวนครัว จำพวก ถั่วเขียว มะเขือเทศ แตงกวา ผักกระหล่ำ เพื่อการทำสวนภายในบ้าน ก็มียอดเพิ่มขึ้นประมาณ 30% (ทำให้อดนึกไปถึงโครงการ “ผักสวนครัว รั้วกินได้ ในบ้านเราเมื่อ 10 ปีกว่าที่แล้วไม่ได้)

ยอดขายถุงยางอนามัยในสหรัฐก็เพิ่มขึ้นประมาณ 5% สอดคล้องกับ Traffic ในเว็ปไซด์หาคู่ Match.com ที่มียอดสูงที่สุดในรอบ 7 ปี

คอไวน์ทั้งหลายไม่ได้ดื่มไวน์น้อยลงในช่วงวิกฤตนี้ (โดยตัวเลขยอดขายไวน์เคลิฟอร์เนียในสหรัฐเพิ่มขึ้นประมาณ 2 % มาอยู่ทีประมาณ 467 ล้านแกลอน) แต่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากไปนั่งจิบไวน์ จากที่ร้านมาเป็นที่บ้าน และเลือกที่จะซื้อไวน์ราคาที่ถูกลงแทน

ยอดขายที่เพิ่มขึ้นของรองเท้าวิ่ง (เพิ่มขึ้นประมาณ 2 %) รวมถึง ยาและวิตามินที่ยังขายดี แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันหันมาใส่ใจในสุขภาพกันมากขึ้น

อุปกรณ์ซ่อม/บำรุงรักษายนต์ เช่น น้ำมันเครื่อง กรองอากาศ หรือ ยาง ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นว่าผู้คนยินดีที่ใช้รถยนต์กันเก่าไปก่อน แทนที่จะซื้อรถคันใหม่ในช่วงเวลานี้

ยอดขายปืนที่เพิ่มขึ้นถึง 27% ในช่วงต้นปีของบริษัท Smith & Wesson แสดงให้เห็นถึงระดับความกลัว และความพยายามที่จะพึ่งตนเองกันมากขึ้น ในขณะที่ยอดขายทองคำที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันต้องการมีหลักประกันทางการเงิน เนื่องจากความเชื่อมั่นที่ถดถอยลงของระบบการเงินที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีฐานะเป็น Safe Haven ณ ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนในรูปแบบต่าง ๆ

แล้วท่านผู้อ่านละครับ ได้ปรับตัวรับกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้กันบ้างแล้วอย่างไร ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น