เป็นที่ทราบกันโดยทั่วกันนะครับว่า
โลกของเรากำลังเผชิญกับปัญญาวิกฤตเศรษฐกิจที่ว่ากันว่าวิกฤตที่สุดในรอบ 100 ปี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า
ได้พยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐอย่างมโหฬารแทบจะไม่เคยปรากฏมาก่อน
ส่งผลให้ประเทศสหรัฐต้องขาดดุลงบประมาณเป็นจำนวนมาก
จนเกิดความกังวลกันทั่วไปว่าประเทศสหรัฐจะถูกปรับลดมุมมอง (Outlook) ด้านอันดับเครดิต (Credit Rating) เหมือนอย่างที่ประเทศอังกฤษได้ถูกปรับลดมุมมองด้านอันดับเครดิตมาแล้วหรือไม่
(S&P ประกาศลดมุมมองด้านอันดับเครดิตของประเทศอังกฤษลงจาก
Stable มาเป็น Negative เมื่อเดือนที่แล้ว)
ด้านนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Federal
Reserve (Fed) ก็พยายามแก้ปัญหาด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ
เริ่มด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate) ตามมาด้วยวิธีการที่เรียกว่า
Quantitative Easing ที่จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว และ
พันธบัตรที่เรียกว่า Agency Mortgage-backed Sercurities การที่ธนาคารกลางสหรัฐออกมาทำอย่างนี้เสมือนเป็นการการพิมพ์เงินออกมาอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ทำให้ราคาของพันธบัตรที่เป็นเป้าหมาย
มีราคาที่สูงขึ้นส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรให้อยู่ในระดับที่ต่ำ ๆ
(เมื่อราคาพันธบัตรปรับตัว (Bond Price) สูงขึ้น
อัตราผลตอบแทน (Yield) นั้นย่อมลดต่ำลง)
ทั้งนี้ Fed มีวัตถุประสงค์จะกดให้อัตราดอกเบี้ยในการผ่อนบ้าน (Mortgage
Rate) ให้ต่ำๆ เพื่อเป็นการประคับประคองภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ
ที่ฟองสบู่ได้แตกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (เนื่องจากธนาคารต่าง ๆ ในสหรัฐมักจะใช้ Yield
ดังกล่าวเป็นตัวอ้างอิงในการกำหนดดอกเบี้ยสำหรับ Mortgage
Rate)
Timothy Geithner รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้เดินทางไปเยือนประเทศจีนเมื่อวันที่
1 มิถุนายน 2552
เพื่อยืนยันกับจีนว่านโยบายที่สหรัฐได้ดำเนินการไปและดำเนินการอยู่นั้นถูกทางแล้ว
สหรัฐตอนนี้ต้องเอาใจจีนเป็นพิเศษเนื่องจาก ณ เดือนมีนาคม 2552
จีนได้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน (U.S. Treasury Bond) อยู่ถึงประมาณ
US$768,000 ล้าน (ประมาณกว่า 26 ล้านล้านบาท)
ในโอกาสเดียวกันนี้ได้ตอบคำถามหลังการกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งว่า ทรัพย์สินของจีนที่อยู่ในรูปของเงินดอลล่าร์มีความปลอดภัยอย่างยิ่ง ซึ่งคำตอบนี้ได้เรียกเสียงหัวเราะจากทั้งห้องประชุมที่ผู้เข้าฟังซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยดังกล่าว
แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เริ่มจะลดลงไปเรื่อยของนานาประเทศที่มีต่อสกุลเงินดอลลาร์
จากการดำเนินนโยบายด้านการคลังและการเงินของสหรัฐในขณะนี้ (รายละเอียดติดตามใน Geither tells
China its dollar assets are safe Reuters, June
1st 2009)
ขอย้อนกลับมาพิจารณาที่ระดับ Micro นะครับ
พบว่าในช่วงเวลาวิกฤตอย่างนี้
ยังมีสินค้าบางชนิด/ประเภทในสหรัฐยังคงมียอดขายที่เพิ่มขึ้น เช่น ช็อกโกแล็ต
อาหารกึ่งสำเร็จรูป ทีวีจอแบน เมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัว ถุงยางอนามัย ไวน์ราคาถูก
รองเท้าวิ่ง ยาและวิตามิน อุปกรณ์ซ่อม/บำรุงรักษารถยนต์ ปืน และ ทองคำ เป็นต้น
(รายละเอียดติดตามใน Bucking the
recession: Sales of chocolate, running sneakers, Spam, plant seeds, cheaper
wines AP, May 16th 2009 และ The Recession,
Wal-Mart Style, New York Times, June 6th 2009)
โดยถึงแม้ว่า
คนอเมริกันส่วนใหญ่ตัดรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
เลื่อนการซื้อรถยนต์คันใหม่ ออกไป
แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงใช้จ่ายสินค้าที่สามารถสร้างความสุขให้กับตนเองได้ที่บ้าน
เช่น ช็อกโกแล็ต หรือ อาหารกึ่งสำเร็จรูปจำพวก พิซซ่า หรือ Macaroni ที่ซื้อกับมารับประทานที่บ้าน
สังเกตุจากบริษัท Hershey ผู้ผลิตช็อกโกแล็ตรายใหญ่
ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 20 % ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 และ บริษัทผลิตอาหารอย่าง Kraft
Foods ก็ได้รายงานถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในผลิตภัณฑ์อาหารจำพวก
Macaroni และ Cheese Dinners
สินค้าที่สร้างความสุขในบ้าน เช่น ทีวีจอแบนและหนังแผ่นก็ยังขายดี
เช่นเดียวกันกับ เมล็ดพันธุ์พืชสวนครัว จำพวก ถั่วเขียว มะเขือเทศ แตงกวา
ผักกระหล่ำ เพื่อการทำสวนภายในบ้าน ก็มียอดเพิ่มขึ้นประมาณ 30% (ทำให้อดนึกไปถึงโครงการ
ผักสวนครัว รั้วกินได้ ในบ้านเราเมื่อ
10 ปีกว่าที่แล้วไม่ได้)
ยอดขายถุงยางอนามัยในสหรัฐก็เพิ่มขึ้นประมาณ 5% สอดคล้องกับ Traffic ในเว็ปไซด์หาคู่ Match.com ที่มียอดสูงที่สุดในรอบ 7
ปี
คอไวน์ทั้งหลายไม่ได้ดื่มไวน์น้อยลงในช่วงวิกฤตนี้ (โดยตัวเลขยอดขายไวน์เคลิฟอร์เนียในสหรัฐเพิ่มขึ้นประมาณ
2 % มาอยู่ทีประมาณ 467 ล้านแกลอน) แต่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากไปนั่งจิบไวน์
จากที่ร้านมาเป็นที่บ้าน และเลือกที่จะซื้อไวน์ราคาที่ถูกลงแทน
ยอดขายที่เพิ่มขึ้นของรองเท้าวิ่ง (เพิ่มขึ้นประมาณ 2 %) รวมถึง
ยาและวิตามินที่ยังขายดี แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันหันมาใส่ใจในสุขภาพกันมากขึ้น
อุปกรณ์ซ่อม/บำรุงรักษายนต์ เช่น น้ำมันเครื่อง กรองอากาศ หรือ ยาง
ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นว่าผู้คนยินดีที่ใช้รถยนต์กันเก่าไปก่อน
แทนที่จะซื้อรถคันใหม่ในช่วงเวลานี้
ยอดขายปืนที่เพิ่มขึ้นถึง 27% ในช่วงต้นปีของบริษัท Smith &
Wesson แสดงให้เห็นถึงระดับความกลัว
และความพยายามที่จะพึ่งตนเองกันมากขึ้น
ในขณะที่ยอดขายทองคำที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันต้องการมีหลักประกันทางการเงิน
เนื่องจากความเชื่อมั่นที่ถดถอยลงของระบบการเงินที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีฐานะเป็น Safe Haven ณ ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนในรูปแบบต่าง ๆ
แล้วท่านผู้อ่านละครับ
ได้ปรับตัวรับกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้กันบ้างแล้วอย่างไร ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น