วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ภาวะกระทิงเข้าสิงข้าวไทย

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 31 มกราคม 2551

ระหว่างที่ผมเขียนบทความชิ้นนี้อยู่นี้ (30 มกราคม 2551) นักลงทุนทั่วโลกต่างจดจ่อรอผลการประชุมคณะกรรมการของธนาคารกลางสหรัฐ US Federal Reserve (หรือ FED) ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอ้างอิง (FED FUND RATE) ลงอีกหรือไม่ หลังจากที่ได้มีการประชุมฉุกเฉิน เพื่อปรับลดดอกเบี้ยในคราวเดียวถึง 0.75% ไปแล้วเมื่อวันที่ 22 มกราคม 51 โดยยังไม่นับรวมครั้งนี้ปัจจุบัน FED FUND RATE อยู่ที่ 3.5 % นับเป็นหั่นดอกเบี้ยลงของ FED เป็นครั้งที่ 4 รวมเป็น 1.75% ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 50 เป็นต้นมา (เดิมอยู่ที่ 5.25% ตั้งแต่ต้นปี 2549) และเป็นที่คาดการณ์กันว่าในการประชุมระหว่างวันที่ 29-30 มกราคมนี้ FED จะมีการปรับดอกเบี้ยลงอีก 0.25 - 0.50 % (ท่านที่สนใจดูแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยได้จากราคาซื้อขายพันธบัตรล่วงหน้าที่ตลาด Chicago Board of Trade ครับ)

ในช่วงนี้ก็มีผู้รู้หลายท่านครับออกมาวิจารณ์และคาดหมายการดำเนินการของ FED อาทิRobert J. Shiller ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์จาก Yale University ผู้ริเริ่มดัชนี S&P Case/Shiller ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับราคาอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ และเป็นผู้แต่งหนังสือ Irrational Exuberance ที่โด่งดัง ได้ออกมาทำนายว่าในรอบนี้ FED มีแนวโน้มที่จะหั่นดอกเบี้ยลงเรื่อย ๆ ไปซึ่งอาจไปสู่ระดับที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) เหมือนอย่างสมัยของ Alan Greenspan ในช่วงระหว่างปี 2001 – 2004 ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นตอที่ทำให้เกิดฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ มาจนถึงขณะนี้

ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นเมื่อเรานำ อัตราดอกเบี้ย มาหักดัวย อัตราเงินเฟ้อ ผลลัพธ์ที่ได้จะเรียกว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการออมเงินของประชาชน หาก อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ย ก็จะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ ซึ่งเสมือนเป็นการลงโทษผู้ที่ออมเงิน เพราะหากเก็บเงินเอาไว้ก็มีแต่ขาดทุน (เนื่องจากราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าผลตอบแทนที่ได้รับจากการฝากเงิน) ทำให้ผู้คนจะหันมาใช้จ่ายกันแทนที่จะอดออมไว้ในวันข้างหน้า ซึ่ง Bob Shiller บอกว่าอาจจะก่อให้เกิดฟองสบู่ขึ้นอีกลูกก็ได้ (Bloomberg News)

เงินนี้ก็เหมือนน้ำครับ เมื่อผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยจากการฝากเป็นสกุลเงิน US Dollar ต่ำลง เงินย่อมไหลออกสหรัฐไปที่อื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า (เช่นไปฝากกินดอกในรูปของเงิน Euro) ฉะนั้นเมื่อดอกเบี้ยในสหรัฐลดลง ย่อมมีแนวโน้มทำให้ค่าเงิน US Dollar นี้ อ่อนค่าลงด้วย

หากไม่พิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ (Ceteris paribus) การอ่อนค่าลงของ US Dollar เพียงอย่างเดียวย่อมส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ที่โค๊ตกันเป็น U.S. Dollar ปรับตัวสูงขึ้นในรูปของเงินดอลล่าร์ แต่ในความเป็นจริง เมื่อมาพิจารณาราคาสินค้าเป็นเงินบาทไทยแล้วก็ไม่แน่เหมือนกันครับ เพราะว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐทำให้ค่าเงินบาทไทยมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นด้วยเหมือนกัน แต่หากแบงค์ชาติไทยยังคงทุ่มเงินเพื่อพยุงค่าเงินบาทโดยวัตถุประสงค์เพื่อช่วยการส่งออกแต่เพียงอย่างเดียวนั้น แน่นอนว่า ราคาสินค้าในรูปเงินบาทย่อมมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นไปด้วย

หันกลับมามองที่ประเทศไทยเรา ก็มีข่าวคราวการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าออกมาโดยตลอด สินค้าที่ไม่ได้ถูกควบคุมก็มีการแอบขึ้นราคากันไปมากมายแล้ว แต่สินค้าจำเป็นที่ถูกควบคุมก็จ่อคิวเข้ามาขออนุญาตจากกรมการค้าภายใน (DIT) เพื่อขอปรับขึ้นราคา ซึ่งทางกรมการค้าภายในก็พิจารณากันไปตามความเหมาะสมและความจำเป็นทั้งในด้านปัจจัยการผลิต และสภาวะการตลาดของสินค้าแต่ละชนิด

แต่หากมองกลับกันอีกด้านหนึ่ง การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ข้าว” สินค้าหลักของประเทศเราตั้งแต่สมัยโบราณ ช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงทองครับ เพราะว่า ราคาข้าวทั้งที่ถูกโค๊ตเป็น US Dollar และ โค๊ตเป็นเงินบาท ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหากพิจารณา สภาวะการณ์ซื้อขายข้าวในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET แล้ว นับตั้งแต่เวลาที่ FED เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก (18 กันยายน 50) เป็นต้นมา ราคาข้าวขาวอ้างอิงสำหรับการซื้อขายขาว 5 % แบบ Both Options (BWR5) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 10.58 บาทต่อกิโลกรัม มา ณ ขณะนี้อยู่ที่ 12.83 บาทต่อกิโลกรัม (30 มกราคม 51) หรือเพิ่มขึ้นกว่า 20 % ในช่วงเวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้น (เทียบกับหุ้นที่ SET INDEX ปรับตัวลดลงไปประมาณ 5 % ในช่วงเวลาเดียวกัน) โดยการเพิ่งวิ่งขึ้นของราคาข้าวในรอบนี้ถือได้ว่ามาช้ากว่าสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่น ทั้งประเภทสินค้าพลังงาน โลหะมีค่า หรือ สินค้าอุตสาหกรรม ที่ได้วิ่งขึ้นในยกแผงมาปีสองปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม ก็นับได้ว่าเป็นโอกาสอันดีของพี่น้องเกษตรกรไทย รวมไปถึงรัฐบาลที่ได้รับจำนำข้าวจากเกษตรกรไว้ ที่จะสามารถขายข้าวได้ในราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ในรูปของเงินบาท โดยจากการเปิดเผยของนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ ณ ขณะนี้ผู้ประกอบการค้าข้าวไทย เช่น โรงสี หรือ พ่อค้าคนกลาง (หยง) ต่างเก็บสต๊อกข้าวเอาไว้เพื่อเก็งกำไรราคาข้าวที่อาจปรับตัวสูงขึ้นไปอีก ในขณะที่ผู้ส่งออกไทยบางรายก็ไม่กล้ารับคำสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศ เนื่องจากเกรงว่าจะขาดทุน เพราะราคาข้าวทั้งในประเทศและตลาดโลกเคลื่อนไหวเร็วมาก (กรุงเทพธุรกิจ 26 มกราคม 51)

แต่หากผู้ประกอบการค้าข้าวไทย (โรงสี หยง หรือ ผู้ส่งออก) เข้าใจกลไกการทำงานของ AFET แล้ว ก็จะพบว่าความผันผวนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดังกล่าวนั้นสามารถบริหารจัดการได้ผ่านกลไก AFET ตัวอย่างเช่น หากโรงสีคิดว่าราคาข้าวจะพุ่งขึ้นไปอีก โรงสีรายดังกล่าวเพียงแต่ซื้อสัญญาข้าวล่วงหน้า (Long BWR5) ของ AFET เอาไว้ หากข้าวราคาเพิ่มขึ้นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ โรงสีดังกล่าวก็จะได้กำไรโดยก็ไม่จำเป็นต้องเก็บสต๊อกข้าวจริงให้สิ้นเปลืองค่าโสหุ้ย เหมือนอย่างที่ทำอยู่ขณะนี้ เช่นเดียวกันกับผู้ส่งออกที่สามารถล๊อคต้นทุนในการซื้อข้าวด้วยกลไก AFET แล้ว ก็จะสามารถรับคำสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศได้โดยไม่ต้องกลัวเลยว่าจะขาดทุน

ก็คงจะเป็นหน้าที่ของ AFET ที่จะต้องประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจอย่างทั่วถึง เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งหลายสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์จาก AFET เพื่อลดความเสี่ยงของตนได้ สมตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาลที่จัดตั้ง AFET ไว้เพื่อเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านราคาให้กับผู้ประกอบการภาคเกษตร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น