ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 31 มกราคม 2551
ระหว่างที่ผมเขียนบทความชิ้นนี้อยู่นี้ (30
มกราคม 2551) นักลงทุนทั่วโลกต่างจดจ่อรอผลการประชุมคณะกรรมการของธนาคารกลางสหรัฐ US
Federal Reserve (หรือ FED) ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอ้างอิง
(FED FUND RATE) ลงอีกหรือไม่ หลังจากที่ได้มีการประชุมฉุกเฉิน
เพื่อปรับลดดอกเบี้ยในคราวเดียวถึง 0.75% ไปแล้วเมื่อวันที่ 22 มกราคม 51
โดยยังไม่นับรวมครั้งนี้ปัจจุบัน FED FUND RATE อยู่ที่ 3.5
% นับเป็นหั่นดอกเบี้ยลงของ FED เป็นครั้งที่ 4 รวมเป็น
1.75% ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 50 เป็นต้นมา (เดิมอยู่ที่ 5.25% ตั้งแต่ต้นปี
2549) และเป็นที่คาดการณ์กันว่าในการประชุมระหว่างวันที่ 29-30 มกราคมนี้ FED
จะมีการปรับดอกเบี้ยลงอีก 0.25 - 0.50 %
(ท่านที่สนใจดูแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยได้จากราคาซื้อขายพันธบัตรล่วงหน้าที่ตลาด Chicago
Board of Trade ครับ)
ในช่วงนี้ก็มีผู้รู้หลายท่านครับออกมาวิจารณ์และคาดหมายการดำเนินการของ
FED
อาทิRobert J. Shiller ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์จาก
Yale University ผู้ริเริ่มดัชนี S&P
Case/Shiller ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับราคาอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ
และเป็นผู้แต่งหนังสือ Irrational Exuberance ที่โด่งดัง ได้ออกมาทำนายว่าในรอบนี้
FED มีแนวโน้มที่จะหั่นดอกเบี้ยลงเรื่อย ๆ
ไปซึ่งอาจไปสู่ระดับที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) เหมือนอย่างสมัยของ Alan Greenspan ในช่วงระหว่างปี
2001 2004 ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นตอที่ทำให้เกิดฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ
มาจนถึงขณะนี้
ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นเมื่อเรานำ อัตราดอกเบี้ย
มาหักดัวย อัตราเงินเฟ้อ ผลลัพธ์ที่ได้จะเรียกว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real
Interest Rate) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการออมเงินของประชาชน
หาก อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ย ก็จะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ
ซึ่งเสมือนเป็นการลงโทษผู้ที่ออมเงิน เพราะหากเก็บเงินเอาไว้ก็มีแต่ขาดทุน
(เนื่องจากราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าผลตอบแทนที่ได้รับจากการฝากเงิน)
ทำให้ผู้คนจะหันมาใช้จ่ายกันแทนที่จะอดออมไว้ในวันข้างหน้า ซึ่ง Bob
Shiller บอกว่าอาจจะก่อให้เกิดฟองสบู่ขึ้นอีกลูกก็ได้ (Bloomberg
News)
เงินนี้ก็เหมือนน้ำครับ
เมื่อผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยจากการฝากเป็นสกุลเงิน US Dollar ต่ำลง เงินย่อมไหลออกสหรัฐไปที่อื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
(เช่นไปฝากกินดอกในรูปของเงิน Euro) ฉะนั้นเมื่อดอกเบี้ยในสหรัฐลดลง
ย่อมมีแนวโน้มทำให้ค่าเงิน US Dollar นี้ อ่อนค่าลงด้วย
หากไม่พิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ (Ceteris
paribus) การอ่อนค่าลงของ US Dollar เพียงอย่างเดียวย่อมส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง
ๆ ที่โค๊ตกันเป็น U.S. Dollar ปรับตัวสูงขึ้นในรูปของเงินดอลล่าร์
แต่ในความเป็นจริง
เมื่อมาพิจารณาราคาสินค้าเป็นเงินบาทไทยแล้วก็ไม่แน่เหมือนกันครับ
เพราะว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐทำให้ค่าเงินบาทไทยมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นด้วยเหมือนกัน
แต่หากแบงค์ชาติไทยยังคงทุ่มเงินเพื่อพยุงค่าเงินบาทโดยวัตถุประสงค์เพื่อช่วยการส่งออกแต่เพียงอย่างเดียวนั้น
แน่นอนว่า ราคาสินค้าในรูปเงินบาทย่อมมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นไปด้วย
หันกลับมามองที่ประเทศไทยเรา
ก็มีข่าวคราวการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าออกมาโดยตลอด
สินค้าที่ไม่ได้ถูกควบคุมก็มีการแอบขึ้นราคากันไปมากมายแล้ว
แต่สินค้าจำเป็นที่ถูกควบคุมก็จ่อคิวเข้ามาขออนุญาตจากกรมการค้าภายใน (DIT)
เพื่อขอปรับขึ้นราคา
ซึ่งทางกรมการค้าภายในก็พิจารณากันไปตามความเหมาะสมและความจำเป็นทั้งในด้านปัจจัยการผลิต
และสภาวะการตลาดของสินค้าแต่ละชนิด
แต่หากมองกลับกันอีกด้านหนึ่ง
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าว สินค้าหลักของประเทศเราตั้งแต่สมัยโบราณ
ช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงทองครับ เพราะว่า ราคาข้าวทั้งที่ถูกโค๊ตเป็น US
Dollar และ โค๊ตเป็นเงินบาท ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยหากพิจารณา สภาวะการณ์ซื้อขายข้าวในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET
แล้ว นับตั้งแต่เวลาที่ FED เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก
(18 กันยายน 50) เป็นต้นมา ราคาข้าวขาวอ้างอิงสำหรับการซื้อขายขาว 5 % แบบ Both
Options (BWR5) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 10.58 บาทต่อกิโลกรัม มา ณ
ขณะนี้อยู่ที่ 12.83 บาทต่อกิโลกรัม (30 มกราคม 51) หรือเพิ่มขึ้นกว่า 20 %
ในช่วงเวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้น (เทียบกับหุ้นที่ SET INDEX ปรับตัวลดลงไปประมาณ 5 % ในช่วงเวลาเดียวกัน)
โดยการเพิ่งวิ่งขึ้นของราคาข้าวในรอบนี้ถือได้ว่ามาช้ากว่าสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่น
ทั้งประเภทสินค้าพลังงาน โลหะมีค่า หรือ สินค้าอุตสาหกรรม
ที่ได้วิ่งขึ้นในยกแผงมาปีสองปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม
ก็นับได้ว่าเป็นโอกาสอันดีของพี่น้องเกษตรกรไทย
รวมไปถึงรัฐบาลที่ได้รับจำนำข้าวจากเกษตรกรไว้
ที่จะสามารถขายข้าวได้ในราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ในรูปของเงินบาท
โดยจากการเปิดเผยของนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ ณ
ขณะนี้ผู้ประกอบการค้าข้าวไทย เช่น โรงสี หรือ พ่อค้าคนกลาง (หยง)
ต่างเก็บสต๊อกข้าวเอาไว้เพื่อเก็งกำไรราคาข้าวที่อาจปรับตัวสูงขึ้นไปอีก
ในขณะที่ผู้ส่งออกไทยบางรายก็ไม่กล้ารับคำสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศ เนื่องจากเกรงว่าจะขาดทุน
เพราะราคาข้าวทั้งในประเทศและตลาดโลกเคลื่อนไหวเร็วมาก (กรุงเทพธุรกิจ 26 มกราคม
51)
แต่หากผู้ประกอบการค้าข้าวไทย (โรงสี หยง หรือ
ผู้ส่งออก) เข้าใจกลไกการทำงานของ AFET แล้ว
ก็จะพบว่าความผันผวนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดังกล่าวนั้นสามารถบริหารจัดการได้ผ่านกลไก
AFET ตัวอย่างเช่น หากโรงสีคิดว่าราคาข้าวจะพุ่งขึ้นไปอีก
โรงสีรายดังกล่าวเพียงแต่ซื้อสัญญาข้าวล่วงหน้า (Long BWR5)
ของ AFET เอาไว้ หากข้าวราคาเพิ่มขึ้นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ
โรงสีดังกล่าวก็จะได้กำไรโดยก็ไม่จำเป็นต้องเก็บสต๊อกข้าวจริงให้สิ้นเปลืองค่าโสหุ้ย
เหมือนอย่างที่ทำอยู่ขณะนี้
เช่นเดียวกันกับผู้ส่งออกที่สามารถล๊อคต้นทุนในการซื้อข้าวด้วยกลไก AFET แล้ว
ก็จะสามารถรับคำสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศได้โดยไม่ต้องกลัวเลยว่าจะขาดทุน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น