ในช่วงที่ผ่านมา หลายท่านที่มีโอกาสได้ตามภาวะตลาดเงินตลาดทุนของประเทศแม่แบบทุนนิยมสมัยใหม่อย่างสหรัฐ จะพบระดับราคาของตลาดหุ้นวัดตามดัชนียอดนิยมอย่าง Dow Jones Industrial Average(DJIA) หรือ S&P 500 ได้สร้างสถิติปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดย DJIA สามารถผ่านระดับแนวต้านที่สำคัญที่
1,700 จุดไปได้(เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 57 ที่ผ่านมา) ขณะที่
S&P500 ก็ได้ปรับตัวขึ้นมาทดสอบระดับที่มีนัยทางจิตวิทยาที่ 2,000 จุดเมื่อปลายเดือนส.ค.นี้ (เทียบกับระดับยอดเดิมก่อนวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์เมื่อ
6 ปีที่แล้ว ที่ DJIA มีระดับสูงสุดที่ 14,198.10 และ S&P500 มีระดับสูงสุดที่1,576.09)
สอดคล้องไปกับภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ
ที่เป็นหนึ่งในฟองสบู่ที่เพิ่งแตกไปในรอบที่แล้ว ล่าสุด Property Indexes ที่สำคัญได้แก่
National Property Index (NPI) ของ National Council of Real
Estate Investment Fiduciaries (NCREIF) ซึ่งใช้วัดผลตอบแทนของอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์
(Commercial) ขณะที่ ดัชนี S&P/Case-ShillerHome
Price Index (CSI) ที่นิยมใช้วัดระดับราคาอ้างอิงอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย
(Residential) ต่างปรับตัวขึ้นมาที่ระดับที่สูงกว่าระดับต่ำสุดถึง68%
(จาก 1472.34 มาอยู่ที่ 2468.40)และ 30% (จาก 134.047 มาอยู่ที่ 172.33) ตามลำดับ
ขณะที่
ตัวเลขดัชนีวัดภาวะภาคการผลิตของสหรัฐ หรือที่รู้จักกันดีใน นามของ ISM Manufacturing
Index ที่ชื่อเต็มว่าISM Purchasing Managers' Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่
15 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 59.0 เทียบกับระดับ 30 กว่า ๆ ในช่วงจุดต่ำสุด
ซึ่งตัวเลขนี้เป็นทีรู้กันดีว่าใช้บ่งบอกทิศทางของกิจกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต
อาทิ กิจกรรมสั่งซื้อสินค้า กิจกรรมการจ้างงาน ภาวะสินค้าคงคลัง
กิจกรรมการส่งมอบ-รับมอบสินค้า ซึ่งสามารถใช้เป็นแสดงทิศทางแนวโน้มภาวะภาคการผลิต
โดยค่าดัชนีที่มากกว่า 50.0 มีความหมายว่าภาวะภาคการผลิตมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึง
ภาวะการจ้างงานที่มีการรายงานล่าสุดโดยกระทรวงแรงงาน สหรัฐในเดือนส.ค.2557 นี้
อัตราการว่างงานอยู่ (Unemployment
Rate) ที่ระดับ 6.1% เปรียบเทียบกับระดับ 10% ในปี 2552
ซึ่งแม้จะมีข้อโต้แย้งว่าตัวเลขอัตราการว่างงานนี้ปรับตัวลดลงเนื่องมาจากตัวเลขParticipate
Rate ที่ลดลงมาเหลือแค่ 62.8% เทียบกับที่ระดับประมาณ 66 %
ในช่วงก่อนวิกฤต แต่การปรับตัวลดลงของอัตราการว่างงานมาเหลือแค่ 6.1 %
นี้ก็มีน้ำหนักมากทีเดียว ที่ธนาคารกลางสหรัฐจะพิจารณาปรับลด/เลิก โครงการ
Quantitative Easing (QE) ที่ดำเนินมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว
แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าในปี2557นี้ สินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอยู่ช่วงหนึ่งใน อดีต
ที่มักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปด้วยกันกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น
สอดคล้องกับสภาพคล่องที่ถูก Pump ของมาจากธนาคารกลางสำคัญทั่วโลก
มาปีนี้สินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น พลังงาน โลหะพื้นฐาน
โลหะมีค่า สินค้าเกษตร ต่างก็มีแนวโน้มของราคาที่ทรง ๆ และหรือ
มีแนวโน้มปรับตัวลดลง
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะได้รับแรงกดดันจากการข้อเท็จจริงเรื่องการค่อย ๆ
ลดลงของปริมาณเงินตามโครงการ Quantitative Easing ของธนาคารกลางสหรัฐ ผนวกกับการเทคโนโลยีอันทันสมัยที่ถูกพัฒนาออกแบบมาใช้ขุดเจาะพลังงานด้วยวิธีใหม่(อาทิ
Horizontal Drilling) ก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ราคาพลังงานในสหรัฐไม่ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
ในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี
จากปัจจัยที่ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจในสหรัฐกำลังจะไปด้วยดี พิจารณาจากทั้งตลาดหุ้น
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ การจ้างงาน หรือ แนวโน้มการ
ไม่เพิ่มขึ้นราคาพลังงาน แต่ผลการสำรวจล่าสุดโดย Gallup Surveyในเดือนส.ค. 2557 รายงานว่า 38% ของคนอเมริกันเห็นว่าเศรษฐกิจดีขึ้น
ขณะที่ 52% ของคนอเมริกันเห็นว่าเศรษฐกิจแย่ลง โดย Gallup สรุปว่าปัจจุบันคนอเมริกันยังคงมีความรู้สึกต่อเศรษฐกิจในด้านลบมากกว่าด้านบวก
แต่ลบไปกว่าในช่วงปีต้น ๆ ของวิกฤตเศรษฐกิจรอบที่ผ่านมา จากผลการสำรวจข้างต้น
ค่อนข้างจะสอดคล้องกับตัวเลขของผู้มีรายได้น้อยที่ขอเข้าร่วมโครงการ Food
Stamps หรือ โครงการแจกคูปองอาหารของรัฐบาลสหรัฐ
ซึ่งเป็นโครงการที่แบ่งเบาภาระค่าอาหารของครัวเรือนอเมริกันผู้มีรายได้น้อย อาทิ ครัวเรือนที่ประกอบด้วย 2 คน
หากรายได้รวมสุทธิน้อยกว่า US$1,293
หรือ ประมาณ 42,000 บาทต่อเดือนจะมีสิทธิได้รับคูปองอาหาร
หรือ Food Stamps จากรัฐบาลเดือนละ US$367
หรือเกือบ 12,000 บาทต่อเดือน
โดยปัจจุบันตัวเลขผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการ Food Stamps ตามข้อมูลล่าสุดเดือนพ.ค.2557
ถึง 46.2 ล้านคน หรือคิดเป็นเกือบ 15%
ของจำนวนประชากรอเมริกัน เปรียบเทียบกับแค่ประมาณ 27 ล้านคน หรือ 9%
ในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ
ซึ่งแน่นอนว่าหากมีการไปถามผู้ที่ยังรับคูปองอาหารจากรัฐบาลเพื่อการยังชีพอยู่
คำตอบที่ได้รับก็คือเศรษฐกิจยังไม่ได้ดีขึ้นมาเลยนับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจ
การที่ตัวเลขในระดับมหภาค (หรือทาง Macroeconomics) ที่ออกมา ค่อนข้างดี แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี
การที่ผลของการฟื้นตัวดังกล่าวยังไม่สามารถส่งผลลงมาถึงระดับล่างตามที่
ปรากฏในผลการสำรวจในระดับครัวเรือน(หรือ Microeconomics) สื่อให้เห็นถึงการไม่บรรจบกันของเศรษฐกิจ
ซึ่งเป็น 2 ขั้ว ในลักษณะของ "A Tale of Two Economies"(ซึ่งเป็นการแผลงมากจาก "A Tale of Two Cities" ผลงานอันโด่งดังของ
ชาร์ส ดิกเก้นส์ อีกทั้งก็พ้องไปกับทฤษฎีการเมือง อันลือลั่นเรื่อง
"สองนคราประชาธิปไตย" ของดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตหัวหน้าพรรคมหาชน)
โดย ขั้วแรกได้แก่ที่ Wall Street ที่ภาวะตลาดหุ้นกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีผู้คนภาคการเงินกำลังมีความสุขกับระดับราคาหุ้น
ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ อีกขั้วหนึ่งที่Main Street ที่พนักงานเพื่อที่จะได้งานทำ อาจจะยอมทำงานที่มีตำแหน่งต่ำกว่า
ด้วยอัตราค่าจ้างที่ลดลง ซึ่งยังคงอาจจะต้องขอรับ Food Stamps จากรัฐบาลต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น