ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552
เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 51 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์โดย ท่านปลัดศิริพล
ยอดเมืองเจริญ ได้แถลงตัวเลข ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Consumer Price
Index; CPI) หรือ ที่ชาวบ้านเข้าใจกันว่าเป็น
"อัตราเงินเฟ้อ" สำหรับเดือน ม.ค. 2552 เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค. 2551
(หรือเมื่อปีที่แล้ว) พบว่า ลดลง 0.4% ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 9 ปี
ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2542 โดยปลัดกระทรวงพาณิชย์ให้ความเชื่อมั่นว่า
"จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีสัญญาณเงินฝืด เพราะการใช้จ่ายสินค้าจำเป็นยังมีอยู่
แต่ยอมรับสินค้าที่ไม่จำเป็น มีการชะลอการซื้อขายไปก่อน อย่างไรก็ตาม
สาเหตุที่เงินเฟ้อติดลบในเดือนนี้
มาจากราคาสินค้าที่ปรับลดลงมากจากปีก่อนที่ราคาน้ำมันและสินค้าเกษตรปรับเพิ่มขึ้นสูงผิดปกติ"
("พาณิชย์ เผยเงินเฟ้อม.ค.ติดลบ 0.4% ในรอบ 9 ปี" กรุงเทพธุรกิจ 3
กุมภาพันธ์ 2551)
การปรับตัวลดลงของ ดัชนี CPI ในครั้งนี้ ทำให้ ในช่วง 2-3
วันที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องเงินฝืด หรือ Deflation ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกัน
ผมจึงขอถือโอกาสทบทวนความหมายคำว่า เงินฝืด หรือ Deflation ให้ท่านผู้อ่านกันอีกซักครั้งนะครับ
ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน คำว่า "เงินฝืด หรือ Deflation"
หมายความว่า
"ภาวะทางเศรษฐกิจที่ปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศมีน้อยไป การใช้จ่ายลดน้อยลง
ทําให้ราคาสินค้าตก" ในขณะที่คำที่มีความหมายตรงข้ามอย่าง "เงินเฟ้อ
หรือ Inflation" หมายความว่า
"ภาวะทางเศรษฐกิจที่ปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศมากเกินไปทําให้ราคาสินค้าแพงและเงินเสื่อมค่า"
อย่างไรก็ตาม ในทางเศรษฐศาสตร์ เงินฝืด หรือ Deflation จะมีความหมายอีกความหมายหนึ่งนั่นคือ การปรับตัวลดลงของดัชนีราคา (Price
Index) ซึ่งหมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้ามีราคาลดลง
การปรับตัวลดลงของราคาสินค้าในภาวะเงินฝืด หรือ Deflation นั้น เป็นภาวะที่ค่อนข้างน่ากลัว เนื่องมาจาก
หากผู้บริโภคคาดว่าสินค้ามีแนวโน้มของราคาที่ลดลง
ผู้บริโภคก็จะไม่ใช้จ่ายแต่จะกอดเงินเอาไว้เพื่อรอที่จะซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกกว่าในอนาคต
ซึ่งทำให้ไม่มีผู้คนต้องการใช้จ่าย
เศรษฐกิจที่หดตัวอยู่แล้วก็จะหดตัวยิ่งขึ้นไปอีก
คนที่โชคร้ายที่สุดในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นเงินฝืด (Deflation) นั้น ก็คือ คนที่เป็นหนี้ เช่น นาย A เงินเดือน 7
หมื่นบาท กู้เงินมา 3 ล้านบาท (ติดหนี้แบงค์) เพื่อซื้อบ้านซักหลังหนึ่ง แต่ในภาวะ
Deflation ราคาสินทรัพย์ทุกอย่างมีแนวโน้มลดต่ำลง
ทั้งค่าจ้าง บ้าน รถยนต์ คอนโด และ GDP สมมุติ กรณีของนาย A
ถูกลดเงินเดือนเหลือ 4 หมื่น ทำให้ผ่อนบ้านต่อไม่ไหว นาย A จึงต้องขายบ้าน ที่ซื้อมาที่ราคา 3 ล้านบาท ไปที่ราคา 2.5 ล้านบาท
แถมต้องติดหนี้ธนาคารอีก 5 แสนบาท (ถูกลดเงินเดือน เสียบ้าน แถมติดหนี้อีก)
ด้วยสภาพ Deflation นี้ ทำให้ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศต่างเป็นหนี้อย่างสหรัฐอเมริกา
กลัวว่าประเทศจะเข้าสู่ภาวะ Deflation เป็นอย่างมาก
เป็นเหตุให้ทั้ง ธนาคารกลางของสหรัฐ หรือ Fed และ
รัฐบาลสหรัฐ พยายามทุกวิถีทางไม่ให้ประเทศตกเข้าสู่ภาวะ Deflation
โดยในช่วงที่ผ่านมา Fed ก็ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเกือบศูนย์เปอร์เซนต์
( 0 0.25 %) อัดฉีดเงินเข้าระบบธนาคารเป็นจำนวนมาก
ตามนโยบาย Quantitative Easing รวมถึงมีแผนที่จะซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐ
ซึ่งเสมือนกับการพิมพ์เงินดอลล่าร์ออกมาเพื่อแก้ปัญหา หรือ เสมือนกับการเพิ่มปริมาณเงิน
(Money Supply) ให้กับระบบ (โดยธนาคารกลางต่าง ๆ
ทั่วโลกต่างต่างมีนโยบายลดดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการเช่นกัน
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวเช่นกัน)
แต่เนื่องมาจากภาวะการขาดความเชื่อมั่นในภาวะวิกฤตอย่างปัจจุบัน
ทำให้ดูเหมือนกับว่าการแก้ปัญหาของ Fed ด้วยการพิมพ์เงินออกมาเข้าระบบในช่วงที่ผ่านมา
ยังไม่ได้ส่งผลทำให้เกิดภาวะ เงินเฟ้อ หรือ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคานัก
โดยสังเกตุจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ
ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของราคาเมื่อปีที่แล้วแทบทั้งสิ้น
(หากจะเปรียบเทียบ เช่นเดียวกันกับในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
ที่ธนาคารกลางเยอรมันได้เพิ่มเงินในระบบขึ้นถึง 400%
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ราคาสินค้าในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น
เนื่องจากผู้คนต่างเก็บเงินเอาไว้ไม่ใช้จ่ายในยามภาวะสงคราม)
ทำให้ปัจจุบันยังเกิดข้อถกเถียงกันว่าด้วยมาตรการของธนาคารกลางทั่วโลก
จะส่งผลให้โลกของเราจะเผชิญกับปัญหา เงินเฟ้อ หรือ เงินฝืด กันแน่ในอนาคตอันใกล้
ซึ่งก็สอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ของท่านกรณ์ จาติกวณิช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังท่านเปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการซื้อขาย Gold Futures ที่ซื้อขายกันในตลาดอนุพันธ์หรือ TFEX ว่า
"ถือเป็นจังหวะดีในการเปิดซื้อขาย Gold Futures ในช่วงนี้
ที่นักลงทุนไทยและนักลงทุนทั่วโลกมองหาวิธีการบริหารความเสี่ยง
หลังจากที่ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ มีความผันผวนอย่างหนัก
ในและภาวะเศรษฐกิจมีปัญหา ที่ถกเถียงกันมากว่าขณะนี้มีปัญหาเงินเฟ้อ หรือเงินฝืด ความสนใจลงทุนในตลาดนี้น่าจะมีมากขึ้น"
("โกลด์ฟิวเจอร์สวันแรกแห่เก็งสั้น 1 เดือน" กรุงเทพธุรกิจ 3 ก.พ.51)
ทั้งนี้ เหมือนอย่างที่หลายท่านล้วนทราบกันดีว่า
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) เช่นเดียวกัน กับสินค้าโภคภัณฑ์อย่าง น้ำมัน หรือ ยางพารา
(ในปัจจุบันมีการซื้อขายยางพาราล่วงหน้า หรือ Rubber Futures แล้วในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET)
แต่ ทองคำเป็นสินค้าที่มีความพิเศษในตัวมันอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ
ทองคำสามารถทำหน้าที่เป็น เงินตรา (Currency) เหมือนที่ครั้งหนึ่งที่
นายอลัน กรีนสแปน ครั้งหนึ่งเคยกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "Gold still
represents the ultimate form of payment in the world. (Speech to Senate Banking
Committee in May 1999)" ซึ่งหากทองคำทำหน้าที่เป็นเงินตราแล้ว
ก็จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในภาวะเงินฝืด (Deflation) ด้วยเช่นกัน
อาทิ ช่วง Deflation ในสหรัฐฯ
หลังจากจากแตกของฟองสบู่อินเตอร์เน็ต (Internet Bubble) ในสหรัฐ
ระหว่างปี ค.ศ.2001 2004
ที่ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก $267.2 ไปที่ $437.2 ต่อออนซ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น