ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 13 มกราคม 2554
ก็ผ่านกันไปอีกหนึ่งปี สำหรับปี พ.ศ.2553 หรือ ค.ศ. 2010 ปี
ที่ว่ากันว่าเป็นปี “ปราบหมี”สำหรับในวงการหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์
ทั้งนี้เนื่องจากราคาสินทรัพย์ใน 2 กลุ่มนี้
ต่างมีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นกันถ้วนหน้า ไล่ไปตั้งแต่ ดัชนีหุ้น เช่น Dow
Jones SET หรือ สินค้าโภคภัณฑ์อย่าง ทองคำ น้ำมันดิบ ยางพารา
เห็นได้จาก ดัชนีหุ้น Dow Jones ของสหรัฐ
และดัชนีหุ้นไทย SET ปิดสิ้นปี 2552 ที่ระดับ 10,428 และ 734
แล้วมาปิดสิ้นปี 2553 ที่ระดับ 11,577 และ 1,032 คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 11% และ 40%
ตามลำดับ สินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันดิบ West Texas ทองคำ
หรือ ยางพาราใน AFET ต่างมีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นกันทั่วหน้า
โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นประมาณ 15% 30% และ 53% ตามลำดับ
ผลตอบแทนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นทับทวีครับ หากนักลงทุนเลือกลงทุน Futures สำหรับแต่ละรายประเภทสินค้า ทั้งในตลาดซื้อขายล่วงหน้า หรือ ตลาดอนุพันธ์
(ที่มีระบบการซื้อขายล่วงหน้าแบบวางเงินประกัน หรือ ที่เรียกว่า Margin) ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ใช้เงินเบื้องต้นจำนวนน้อยเข้าไปลงทุนในสินค้าที่มีมูลค่ามาก
ๆ ได้ เช่น ใช้เงินเบื้องต้น 24,000 บาท ลงทุนในยางพารา 5 ตัน มูลค่าเฉลี่ยประมาณ
600,000 บาท ใน AFET หรือ ใช้เงินเบื้องต้น 57,000 บาท
ลงทุนในทองคำ 50 บาท มูลค่าเฉลี่ยประมาณ 900,000 บาท ใน TFEX เป็นต้น ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าการลงทุนใน Futures แบบนี้เป็นการลงทุนที่มีอัตราทดสูง
หรือที่เรียกกันว่า High Leverage โดยตัวอย่างของกรณียางพาราใน
AFET มีอัตราการ Leverage ประมาณ 25:1
(600,000 ต่อ 24,000) และกรณีของทองคำใน TFEX มีอัตราการ Leverage
ประมาณ 16:1 (900,000 ต่อ 57,000)
สมมุติในกรณี ที่นักลงทุนคนเก่งท่านหนึ่งได้เข้าซื้อ Futures ยางพาราใน AFET เมื่อสิ้นปี 2552 และขายปี 2553
โดยในช่วงเวลาดังกล่าวยางพาราได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 98 บาท มาอยู่ที่ 150 บาท
การถือครอง Futures ยางพาราที่ปัจจุบันมีขนาดอยู่ที่ 5,000
กิโลกรัม จะทำกำไรให้นักลงทุนรายนี้ได้ทั้งสิ้นประมาณ 260,000 บาท
ซึ่งเมื่อเทียบกับเงินต้นที่ลงทุนไปที่ 24,000 บาท จะคิดเป็นการกำไรถึง 1083 %
การกำไรเป็นพันเปอร์เซนต์ดังกล่าวเป็นไปได้ครับด้วยเครื่องมือการลงทุนที่ High
Leverage
อย่างไรก็ดีครับ ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ก็มีเครื่องมือทางการเงิน
หรือ รูปแบบการลงทุนที่เสี่ยงสุด ๆ
อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งกำลังนิยมในหมู่นักลงทุนรายย่อยทั่วโลก
ที่รู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า “Contract for Difference” หรือ CFDs
โดยเจ้า CFDs นี้มีลักษณะเด่นตรงที่มีอัตราการ
Leverage ที่สูงมาก (มากกว่า Futures เสียอีก)
เช่น 200:1 เป็นต้น
ความหมายของ CFDs สามารถแปลได้ตรงตัวครับนั่นคือ แปลว่า สัญญา (Contract)
ระหว่างผู้เล่น (Player) กับเจ้าของร้าน (Dealer)
สำหรับส่วนต่างของการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ทางการเงิน
ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้ง อัตราแลกเปลี่ยน ดัชนีหุ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ
ราคาหุ้นรายตัว (โดยสามารถเป็นได้ทั้งราคา Spot หรือ ราคา Futures
ของสินทรัพย์เหล่านั้น)
เจ้าของร้าน CFDs แต่ละร้านจะถูกกำกับดูแลจาก Regulator ที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเทศ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย เยอรมัน
และอีกหลายประเทศ เช่น หากเจ้าของร้าน CFDs จดทะเบียนอยู่ในอังกฤษ
ก็จะมี UK Financial Services Authority (FSA) เป็นดูแล
แต่ก็น่าสังเกตที่ CFDs กลับไม่ได้รับอนุญาตในประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา
ทำให้เจ้าของร้าน CFDs ต้องเลือกที่จะเปิดสาขาในประเทศอื่น ๆ
แทน
การซื้อขาย CFDs ปกติแล้วจะเป็นการซื้อขายแบบ Over-The-Counter
หรือ OTC คือเป็นการซื้อขายที่ผู้เล่นกับเจ้าของร้านตกลงกันเองโดยไม่ผ่านตลาดที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการ
(Organized Exchanges) เช่น AFET หรือ TFEX
ลองนึกภาพคล้าย ๆ
ร้านขายทองบ้านเราที่แต่ละร้านจะมีราคาแปะหน้าร้านว่า ณ เวลา ขณะนี้จะรับซื้อ-ขายออกทองคำที่ราคาเท่าไร
การค้าขาย CFDs ก็เช่นเดียวกัน หน้าจอซื้อขายของเจ้าของร้าน CFDs
จะให้ผู้เล่น Download หน้ากระดานซื้อขาย CFDs
ซึ่งในหน้าจอดังกล่าวจะป้ายบอกราคา bid และ offer
สำหรับสินค้าแต่ละชนิด
ที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาทุกเสี้ยววินาที ซึ่งเมื่อผู้เล่นพอใจที่จะซื้อ
หรือ ขายสินค้าที่ระดับราคาใด ก็สามารถเคาะซื้อ หรือ
เคาะขายที่ระดับราคาที่พึงพอใจนั้นได้ทันที
การซื้อขาย CFDs ก็จะมีระบบการวางเงิน Margin คล้ายกับในตลาดอนุพันธ์ทั่วไป นั่นถือหากนักลงทุนต้องการซื้อ หรือ ขาย (go
short หรือ go long) จะต้องมีเงินจำนวนหนึ่งวางไว้กับเจ้าของร้านเพื่อใช้เป็นเงิน
Margin แต่จะมีอัตราการ Leverage ที่สูงกว่า
Futures ในตลาดอนุพันธ์ทั่ว ๆ ไป หรืออีกนัยหนึ่งคือ
อัตราเงิน Margin ขั้นต้นต่ำมาก ๆ เช่น ในเจ้าของร้าน CFDs
บางเจ้าเรียกเก็บเงิน Margin เพียง US$4 สำหรับทองคำ (XAU) 1 Oz มูลค่าปัจจุบันประมาณ
US$1,380 หรือคิดเป็นอัตรการ Leverage สูงถึง
345:1 คิดเป็นอัตราการ Leverage ที่สูงกว่า Futures ใน Organized Exchanges อย่างมาก (ในตลาด Futures
ผมเคยเห็นอัตราการ Leverage อย่างมากที่สุดก็แค่
30:1)
ระบบ Margin ของการซื้อขาย CFDs นี้จะต่างจาก
Futures Exchange ก็คือในระบบของ Futures Exchange โดยปกติแล้ว เมื่อระดับเงินประกันของผู้เล่นมีระดับที่ต่ำกว่าระดับ Margin
ขั้นต่ำ ผู้เล่นต้องนำเงินมาวางภายในวันรุ่งขึ้นก่อนเปิดตลาด
แต่ในระบบของ CFDs นี้เมื่อ เจ้าของร้าน CFDs จะไม่รอท่านจนถึงวันรุ่งขึ้น แต่จะทำการขายตัดขาดทุน หรือ Cut Loss
ให้ท่านทันทีที่ระดับเงินในบัญชีท่านตกลงมาต่ำกว่าระดับ Margin
ขั้นต่ำ ซึ่งด้วยอัตราการ Leverage ที่สูงมากเลยทำให้การลงทุนในแต่ละครั้งหากวางแผนไม่ดีจะถูก
Cut Loss ได้ง่ายและบ่อยครั้งมาก ๆ
การเข้าซื้อขาย CFDs นี้
ผู้เล่นจะไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น เจ้าของร้าน CFDs ทำรายได้จากส่วนต่างระหว่าง
Bid – Offer ซึ่งส่วนใหญ่จะได้จากการ Cut Loss บัญชีลูกค้า และว่ากันว่าบริษัทเจ้าของร้าน CFDs นี้ในช่วงปีที่ผ่านมาทำกำไรกันได้เยอะมาก
ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในทุกรายประเภทสินค้าทำให้เกิดการ Cut
Loss กันบ่อยครั้งขึ้นก็เป็นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น