วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อะไรๆ ก็ Commodity

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 11 กันยายน 2551

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อาจจะกล่าวได้ว่าเกิดกระแสของคำว่า "Commodity" ขึ้นทั่วโลก หนีไม่พ้นที่ประเทศไทยของเราก็มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกระแสดังกล่าวด้วย เช่น การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันซึ่งทำให้ผู้ใช้รถยนต์หันไปติด LPG หรือ NGV เป็นจำนวนมาก หรือ การแห่กันไปซื้อทองคำแท่ง (เมื่อทองราคาตก) จนทำให้ทองคำขาดตลาดจนร้านทองต้องออกกระดาษให้แทน หรือ การเสนอขายผลิตภัณฑ์ประเภทกองทุนที่เกี่ยวข้อง/เกี่ยวเนื่องกับ Commodity ของบริษัทจัดการกองทุนรวมหลายบริษัท อาทิ กองทุน I-Enhance ของ บลจ.เอ็มเอฟซี

คำว่า "Commodity" ยังสามารถนำไปใช้ผสมกับคำอื่นๆ ทำให้เกิดคำศัพท์ที่มีความความหมายแตกต่างกันอีกมากมาย เช่น คำว่า Commodity Money, Commodity Currency, Commodity Finance, หรือ Commodity Index

ยกตัวอย่างของความหมายของคำว่า Commodity Money ที่มีความหมายว่า เงินในรูปแบบของสินค้าที่มีมูลค่าในตัวของมันเอง (เช่น ทองคำ เงิน ทองแดง นิกเกิล เกลือ เปลือกหอย หรือ บุหรี่ เป็นต้น) ก็มีความหมายแตกต่างไปจาก 3 คำที่เหลืออย่างสิ้นเชิง

รูปแบบของการใช้ Commodity Money ที่นิยมพูดถึงกัน เกิดขึ้น ณ ค่ายกักกัน "เชลยศึก" เยอรมัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่ง "เชลยศึก" จะได้รับการแจกจ่ายสิ่งของเครื่องใช้ เช่น อาหาร เสื้อผ้า บุหรี่ หรือ หมากฝรั่ง อย่างไรก็ตามการแจกจ่ายดังกล่าวกระทำอย่างไม่มีระบบแบบแผน ทำให้ "เชลยศึก" ที่นั่นได้สิ่งของไม่เป็นไปตามความต้องการเช่น บางคนไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับแจกบุหรี่ บางคนอยากได้เสื้อใหม่ บางคนอยากได้อาหารที่มากกว่าเดิม

แต่ถ้าจะให้ "เชลยศึก" แลกเปลี่ยนสินค้ากันเองในเวลานั้นก็ทำได้ไม่สะดวก เพราะว่าต้องไปหาคนที่ต้องการสินค้าของเราแล้วเราต้องการสินค้าของเขาพอดีจึงสามารถทำการแลกเปลี่ยนได้ ความไม่สะดวกดังกล่าวจึงทำให้เกิดการใช้ "บุหรี่" เป็น Commodity Money ซึ่งสินค้าชนิดต่างๆ ในเรือนจำจะมีราคาเป็นจำนวนมวนบุหรี่ เช่น เสื้อผ้าราคาเท่ากับบุหรี่ 50 มวน ช็อกโกแลตราคาเป็นบุหรี่ 5 มวน รับจ้างซักผ้าราคาเป็นบุหรี่ 2 มวน เป็นต้น

ในช่วงเวลานั้นแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ก็ยินดีที่จะรับบุหรี่ไว้เพราะว่าตนสามารถนำบุหรี่ไปแลกเอาของที่ตนต้องการในอนาคตได้ นับได้ว่าบุหรี่ซึ่งเป็น Commodity Money ที่ทำหน้าที่ของเงิน (Money) ในเวลานั้นได้ค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว

ปัจจุบันเราก็ยังใช้ Commodity Money กันอยู่ในรูปของเหรียญกษาปณ์ เช่น เหรียญ 50 สตางค์ 1 บาท 2 บาท 5 บาท และ 10 บาท ซึ่งโลหะที่ใช้ทำเหรียญเหล่านั้นล้วนมีมูลค่าในตัวมันเองทั้งสิ้น

ส่วนคำว่า Commodity Currency นั้นมีความหมายไปคนละทิศละทางกับคำว่า Commodity Money เลยทีเดียว กล่าวคือ Commodity Currency จะหมายถึง สกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการส่งออกสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ เช่น แทนซาเนีย ปาปัวนิวกินี หรือ เป็นสกุลเงินที่มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับราคา Commodity ซึ่งในแวดวงการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนหากพูดถึง Commodity Currency ส่วนมากจะหมายถึง สกุลเงินของประเทศออสเตรเลีย (Australia Dollar; AUD) แคนาดา (Canada Dollar; CAD) นิวซีแลนด์ (New Zealand Dollar; NZD) และแอฟริกาใต้ (South Africa Rand; ZAR) ซึ่งเป็นที่นาสังเกตว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา Commodity Currencies ทั้งหลายเมื่อนำมาเทียบกับเงินสกุลหลักของโลกซึ่งก็คือ ดอลลาร์สหรัฐ (U.S. Dollar; USD) ล้วนมีค่าที่อ่อนลงแทบทั้งสิ้น (3%สำหรับ CAD ถึง - 13% สำหรับ AUD)

แต่หากต้องการพิจารณาดูว่า ค่า USD ปรับตัวอ่อนค่าลง หรือ แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ ก็มีดัชนีชี้วัดที่นิยมใช้กันในปัจจุบันคือ ค่าดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือ US Dollar Index (USDX) ที่ในช่วงเดือนที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากประมาณ 73 จุด (1 สิงหาคม 51) มาอยู่ที่ประมาณ 79 จุด (8 กันยายน 51) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 8%

ค่าดัชนี USDX นี้ใช้ชี้วัดการเคลื่อนไหวของราคาค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับตะกร้าเงินของเงิน 6 สกุลหลัก ได้แก่ เงินยูโร (EUR) เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) เงินดอลลาร์แคนาดา (CAD) เงินสวิสฟรังก์ (CHF) และ เงินโครนาสวีเดน (SEK) ซึ่งจะมีการ Update ดัชนีอยู่ตลอด 24 ช.ม. หากค่าดัชนีปรับตัวลดลงก็แปลว่าค่าเงินสหรัฐอ่อนค่าลง เป็นต้น

ดัชนี USDX นี้ถูกริเริ่มและสร้างโดย New York Board of Trade (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ IntercontinentalExchange หรือ ICE Futures U.S. ไปแล้ว) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 และก็ได้รับการปรับปรุงมาเรื่อย ๆ จนมีรูปแบบดังเช่นในปัจจุบัน โดย ICE Futures U.S. เปิดให้ซื้อขายล่วงหน้าดัชนี USDX ทั้งในรูปแบบของ Futures และ Options ในเดือนส่งมอบ มีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม

ย้อนกลับมาคำว่า Commodity Index หรือดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีการสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นดัชนีชี้วัดราคาสินค้าสินค้าโภคภัณฑ์อยู่มากมายหลายตัว เช่น Reuters/Jefferies CRB Index (CRB), S&P Goldman Sachs Commodities Index (S&P GSCI), Deutsche Bank Liquid Commodity Index (DBLCI) หรือ Rogers International Commodities Index (RICI)

แต่หากถามถึงสำหรับดัชนีสินค้าแยกเป็นรายประเภทสินค้า เช่น ยางพารา ก็มีการสร้างดัชนีราคายางพาราเช่นกัน นั่นคือ C-Com Rubber Index ซึ่งริเริ่มและสร้างโดย Osaka Mercantile Exchange (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ Central Japan Commodity Exchange (C-Com) ไปแล้ว) โดย C-Com ได้กำหนดซื้อขายล่วงหน้าดัชนี Rubber Index นี้ในรูปแบบของ Futures สำหรับส่งมอบในแต่ละเดือนในอนาคตอีก 6 เดือนข้างหน้า

ท้ายนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า ในอนาคตอันใกล้ทาง C-COM จะนำราคาซื้อขายล่วงหน้ายางแผ่นรมควันชั้น 3 (AFET RSS3 Futures) ของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET เข้าเป็นส่วนหนึ่งของค่า C-COM Rubber Index การนำราคาของ AFET ไปรวมในดัชนีดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่า AFET เริ่มมีบทบาทในการชี้นำราคายางพาราระหว่างประเทศ นับเป็นก้าวที่สำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่า AFET ได้ทำหน้าที่ของตนในฐานะตลาดล่วงหน้าได้สมกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง AFET ของผู้ริเริ่มก่อตั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น