ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 11 กันยายน 2551
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อาจจะกล่าวได้ว่าเกิดกระแสของคำว่า "Commodity"
ขึ้นทั่วโลก หนีไม่พ้นที่ประเทศไทยของเราก็มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกระแสดังกล่าวด้วย
เช่น การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันซึ่งทำให้ผู้ใช้รถยนต์หันไปติด LPG หรือ NGV เป็นจำนวนมาก หรือ
การแห่กันไปซื้อทองคำแท่ง (เมื่อทองราคาตก)
จนทำให้ทองคำขาดตลาดจนร้านทองต้องออกกระดาษให้แทน หรือ
การเสนอขายผลิตภัณฑ์ประเภทกองทุนที่เกี่ยวข้อง/เกี่ยวเนื่องกับ Commodity ของบริษัทจัดการกองทุนรวมหลายบริษัท อาทิ กองทุน I-Enhance ของ บลจ.เอ็มเอฟซี
คำว่า "Commodity" ยังสามารถนำไปใช้ผสมกับคำอื่นๆ
ทำให้เกิดคำศัพท์ที่มีความความหมายแตกต่างกันอีกมากมาย เช่น คำว่า Commodity
Money, Commodity Currency, Commodity Finance, หรือ Commodity
Index
ยกตัวอย่างของความหมายของคำว่า Commodity Money ที่มีความหมายว่า
เงินในรูปแบบของสินค้าที่มีมูลค่าในตัวของมันเอง (เช่น ทองคำ เงิน ทองแดง นิกเกิล
เกลือ เปลือกหอย หรือ บุหรี่ เป็นต้น) ก็มีความหมายแตกต่างไปจาก 3
คำที่เหลืออย่างสิ้นเชิง
รูปแบบของการใช้ Commodity Money ที่นิยมพูดถึงกัน
เกิดขึ้น ณ ค่ายกักกัน "เชลยศึก" เยอรมัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่ง
"เชลยศึก" จะได้รับการแจกจ่ายสิ่งของเครื่องใช้ เช่น อาหาร เสื้อผ้า
บุหรี่ หรือ หมากฝรั่ง อย่างไรก็ตามการแจกจ่ายดังกล่าวกระทำอย่างไม่มีระบบแบบแผน
ทำให้ "เชลยศึก" ที่นั่นได้สิ่งของไม่เป็นไปตามความต้องการเช่น
บางคนไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับแจกบุหรี่ บางคนอยากได้เสื้อใหม่
บางคนอยากได้อาหารที่มากกว่าเดิม
แต่ถ้าจะให้ "เชลยศึก"
แลกเปลี่ยนสินค้ากันเองในเวลานั้นก็ทำได้ไม่สะดวก เพราะว่าต้องไปหาคนที่ต้องการสินค้าของเราแล้วเราต้องการสินค้าของเขาพอดีจึงสามารถทำการแลกเปลี่ยนได้
ความไม่สะดวกดังกล่าวจึงทำให้เกิดการใช้ "บุหรี่" เป็น Commodity
Money ซึ่งสินค้าชนิดต่างๆ ในเรือนจำจะมีราคาเป็นจำนวนมวนบุหรี่
เช่น เสื้อผ้าราคาเท่ากับบุหรี่ 50 มวน ช็อกโกแลตราคาเป็นบุหรี่ 5 มวน
รับจ้างซักผ้าราคาเป็นบุหรี่ 2 มวน เป็นต้น
ในช่วงเวลานั้นแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ก็ยินดีที่จะรับบุหรี่ไว้เพราะว่าตนสามารถนำบุหรี่ไปแลกเอาของที่ตนต้องการในอนาคตได้
นับได้ว่าบุหรี่ซึ่งเป็น Commodity Money ที่ทำหน้าที่ของเงิน (Money) ในเวลานั้นได้ค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว
ปัจจุบันเราก็ยังใช้ Commodity Money กันอยู่ในรูปของเหรียญกษาปณ์
เช่น เหรียญ 50 สตางค์ 1 บาท 2 บาท 5 บาท และ 10 บาท
ซึ่งโลหะที่ใช้ทำเหรียญเหล่านั้นล้วนมีมูลค่าในตัวมันเองทั้งสิ้น
ส่วนคำว่า Commodity Currency นั้นมีความหมายไปคนละทิศละทางกับคำว่า
Commodity Money เลยทีเดียว กล่าวคือ Commodity
Currency จะหมายถึง
สกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการส่งออกสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ
เช่น แทนซาเนีย ปาปัวนิวกินี หรือ
เป็นสกุลเงินที่มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับราคา Commodity ซึ่งในแวดวงการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนหากพูดถึง Commodity Currency
ส่วนมากจะหมายถึง สกุลเงินของประเทศออสเตรเลีย (Australia
Dollar; AUD) แคนาดา (Canada Dollar; CAD) นิวซีแลนด์
(New Zealand Dollar; NZD) และแอฟริกาใต้ (South
Africa Rand; ZAR) ซึ่งเป็นที่นาสังเกตว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา Commodity
Currencies ทั้งหลายเมื่อนำมาเทียบกับเงินสกุลหลักของโลกซึ่งก็คือ
ดอลลาร์สหรัฐ (U.S. Dollar; USD) ล้วนมีค่าที่อ่อนลงแทบทั้งสิ้น
(3%สำหรับ CAD ถึง - 13% สำหรับ AUD)
แต่หากต้องการพิจารณาดูว่า ค่า USD ปรับตัวอ่อนค่าลง หรือ
แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ
ก็มีดัชนีชี้วัดที่นิยมใช้กันในปัจจุบันคือ ค่าดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือ US
Dollar Index (USDX) ที่ในช่วงเดือนที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากประมาณ
73 จุด (1 สิงหาคม 51) มาอยู่ที่ประมาณ 79 จุด (8 กันยายน 51) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ
8%
ค่าดัชนี USDX นี้ใช้ชี้วัดการเคลื่อนไหวของราคาค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับตะกร้าเงินของเงิน
6 สกุลหลัก ได้แก่ เงินยูโร (EUR) เงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) เงินดอลลาร์แคนาดา (CAD)
เงินสวิสฟรังก์ (CHF) และ เงินโครนาสวีเดน (SEK)
ซึ่งจะมีการ Update ดัชนีอยู่ตลอด 24 ช.ม.
หากค่าดัชนีปรับตัวลดลงก็แปลว่าค่าเงินสหรัฐอ่อนค่าลง เป็นต้น
ดัชนี USDX นี้ถูกริเริ่มและสร้างโดย New York Board
of Trade (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ IntercontinentalExchange
หรือ ICE Futures U.S. ไปแล้ว) ตั้งแต่ปี
พ.ศ.2516 และก็ได้รับการปรับปรุงมาเรื่อย ๆ จนมีรูปแบบดังเช่นในปัจจุบัน โดย ICE
Futures U.S. เปิดให้ซื้อขายล่วงหน้าดัชนี USDX ทั้งในรูปแบบของ Futures และ Options ในเดือนส่งมอบ มีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม
ย้อนกลับมาคำว่า Commodity Index หรือดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์
ซึ่งปัจจุบันมีการสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นดัชนีชี้วัดราคาสินค้าสินค้าโภคภัณฑ์อยู่มากมายหลายตัว
เช่น Reuters/Jefferies CRB Index (CRB), S&P Goldman Sachs
Commodities Index (S&P GSCI), Deutsche Bank Liquid Commodity Index (DBLCI) หรือ Rogers International Commodities Index (RICI)
แต่หากถามถึงสำหรับดัชนีสินค้าแยกเป็นรายประเภทสินค้า เช่น ยางพารา
ก็มีการสร้างดัชนีราคายางพาราเช่นกัน นั่นคือ C-Com Rubber Index ซึ่งริเริ่มและสร้างโดย
Osaka Mercantile Exchange (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ Central
Japan Commodity Exchange (C-Com) ไปแล้ว) โดย C-Com ได้กำหนดซื้อขายล่วงหน้าดัชนี Rubber Index นี้ในรูปแบบของ
Futures สำหรับส่งมอบในแต่ละเดือนในอนาคตอีก 6 เดือนข้างหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น