วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

AFET กับหลักการ SPREAD MARGIN

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 13 มีนาคม 2551

ในธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า หรือ FUTURES TRADING เช่น ในตลาดอนุพันธ์ (หรือ TFEX) หรือ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) หลักการของการวางมาร์จิน (MARGIN) นับว่าเป็น CONCEPT ที่สำคัญมากๆ ที่ทุกคนต้องรู้ก่อนจะเริ่มการซื้อขายล่วงหน้า เพราะก่อนที่ผู้ซื้อหรือผู้ขายจะเริ่มการซื้อขายล่วงหน้าได้ โบรกเกอร์จะเรียกเก็บเงินสดไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อใช้เป็นหลักประกันสำหรับการซื้อขาย หรือที่เรียกกันว่า การเรียกเก็บเงิน MARGIN

โชคร้ายอย่างหนึ่งว่า MARGIN ที่ว่านี้ ไปพ้องกับ การซื้อขายหุ้นแบบมาร์จิน (MARGIN) ของวงการตลาดหุ้นแบบชนิดว่าสะกดเหมือนกัน และมีลักษณะการใช้งานและการเรียกเก็บที่คล้ายคลึงกันอีก จึงชวนให้สับสนว่า มาร์จินที่เราใช้กันในวงการซื้อขายล่วงหน้า (FUTURES TRADING) นั้น แตกต่างไปจากการซื้อขายหุ้นแบบบัญชีมาร์จินของหุ้นอย่างไร ซึ่งทั้งสองนี้มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควรทีเดียว (ผู้ที่สนใจติดตามรายละเอียดได้ที่ "มาร์จินตลาดล่วงหน้าต่างกับมาร์จินหุ้นอย่างไร" นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 ม.ค.2550)

การวางหลักประกันสำหรับการซื้อขายล่วงหน้า หรือ MARGIN สำหรับ FUTURES นั้น จะกำหนดให้มีการวางทั้งด้านผู้ซื้อและด้านผู้ขายในอัตราเท่าๆ กัน ซึ่งจะแตกต่างไปจากการวางมัดจำในวงการค้าทั่วไป เช่น จองบ้าน หรือ จองรถ ที่ส่วนใหญ่แล้วด้านผู้ซื้อจะเป็นคนวางเงินมัดจำ หากผู้ซื้อไม่ยอมมาซื้อบ้านภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ขายก็จะยึดเงินมัดจำดังกล่าวไป

แต่ในโลกของความเป็นจริง ราคาสินค้าอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือจะลดลงก็ได้ (ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้)

ดังนั้นเมื่อราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าผู้ที่ซื้อล่วงหน้า (LONG) ย่อมกำไรและผู้ที่ขายล่วงหน้า (SHORT) ไว้ย่อมขาดทุน แต่ในทางตรงข้าม หากราคาสินค้าปรับตัวลดลง ผู้ขายล่วงหน้า (SHORT) ย่อมกำไรและ ผู้ซื้อล่วงหน้า (LONG) ไว้ย่อมขาดทุน ฉะนั้นเพื่อให้สามารถรองรับกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายล่วงหน้า (เกิดจากทั้งการปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลงของราคา) จึงมีเรียกเงิน MARGIN ด้วยกันทั้งฝ่ายด้านผู้ซื้อและฝ่ายด้านผู้ขาย

ทว่าในบางกรณี ที่ลูกค้าคนเดียวกันในเวลาเดียวกัน จะเป็นทั้งผู้ซื้อล่วงหน้า (LONG) และผู้ขายล่วงหน้า (SHORT) เช่น สมมติ วันที่ 12 มี.ค.2551 ผมเห็นราคาข้าวขาว 5% (BWR5) ใน AFET ส่งมอบเดือน เม.ย.2551 ซื้อขายกันที่กิโลละ 17.20 บาท และ ส่งมอบเดือน พ.ค.2551 ค้าขายกันที่กิโลละ 17.69 บาท หากผมมาลองพิจารณาดูแล้วเห็นว่า ส่วนต่างระหว่าง 17.69 บาท กับ 17.20 บาท ซึ่งเท่ากับ 49 สตางค์ต่อกิโลนี้ เป็นส่วนต่างที่ค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับต้นทุนการเก็บรักษาข้าวไว้เป็นเวลา 1 เดือน

ผมอาจจะสามารถทำกำไรใน AFET ได้เลย ด้วยการซื้อข้าวส่งมอบเดือน เม.ย.2551 (หรือ LONG BWR5 APR08) ในขณะเดียวกันนี่เอง ก็ขายข้าวส่งมอบเดือน พ.ค.2551 ไว้ด้วย (SHORT BWR5 MAY08) โดยผมคิดว่ายังไงซะผมก็คุ้ม เพราะว่าส่วนต่างที่เท่ากับ 49 สตางค์ต่อกิโลนี้ ในความคิดของผม ผมคงสามารถปิดประตูขาดทุนได้เลย เพราะว่าอย่างแย่ที่สุด ผมอาจรับมอบข้าวในเดือน เม.ย.เก็บข้าวไว้ 1 เดือน แล้วนำข้าวมาส่งมอบในเดือน พ.ค. ต้นทุนการเก็บรักษาข้าวยังไงซะก็ไม่น่าจะเกิน 49 สตางค์

การเข้าซื้อล่วงหน้า (LONG) สินค้าที่ครบกำหนดส่งมอบเดือนหนึ่ง และขายล่วงหน้า (SHORT) สินค้าที่ครบกำหนดส่งมอบอีกเดือนหนึ่ง ในวงการ FUTURES จะเรียกว่า ทำได้ทำการซื้อขายแบบ SPREAD หรือ ได้มีการถือครองแบบ SPREAD POSITION (เป็นการถือครองข้อตกลงซื้อและขายล่วงหน้าในสินค้าชนิดเดียวกันแต่ต่างเดือนส่งมอบกัน) ซึ่งตามกฎเกณฑ์เดิมของตลาด AFET จากตัวอย่างข้างต้น ผมจะต้องวางเงิน MARGIN ทั้งในด้านซื้อ (LONG BWR5 APR08) และ ด้านขาย (SHORT BWR MAY08) โดยอัตราเงิน MARGIN สำหรับ AFET BWR5 ปัจจุบันอยู่ที่สัญญาละ 5,400 บาท ผมถืออยู่ทั้ง SHORT ทั้ง LONG รวมเป็น 2 สัญญา ตามกฎเดิมผมต้องวางเงิน MARGIN เท่ากับ 10,800 บาท

ถ้าพิจารณากันตามความเสี่ยงแล้ว การถือครองแบบ SPREAD ที่ว่า จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า การซื้อล่วงหน้าหรือการขายล่วงหน้า ด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว เพราะว่า โดยปกติแล้ว หากราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงไป ผลขาดทุนจากการถือครองด้านหนึ่ง จะถูกชดเชยด้วยกำไรจากการถือครองอีกด้านหนึ่งเสมอ (เช่น เมื่อราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น ด้านที่ซื้อล่วงหน้า (LONG) ก็จะมีกำไร ในขณะที่ด้านที่ขายล่วงหน้าไว้ (SHORT) ก็จะขาดทุน เป็นต้น ทำให้การเรียกเก็บเงิน MARGIN ทั้งสองด้านสำหรับการถือครองแบบ SPREAD (เช่น 10,800 บาท สำหรับ 2 สัญญา) จึงเป็นการเรียกเก็บเงินที่มากเกินไป ทำให้ธุรกรรมการซื้อขายล่วงหน้ามีต้นทุนที่สูงกว่าที่ควรจะเป็น

เป็นที่น่ายินดีครับว่า ตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.2551 เป็นต้นมา AFET ได้ทำการกำหนดว่าส่วนลดสำหรับเงิน MARGIN ไว้ให้สำหรับกรณี SPREAD POSITION ข้างต้น กล่าวคือเมื่อลูกค้ารายใดถือครองข้อตกลงซื้อและขายล่วงหน้าในสินค้าชนิดเดียวกันแต่ต่างเดือนส่งมอบกัน สำหรับสินค้าประเภทยางพารา (RSS3) ข้าวขาว (BWR5) และ มันสำปะหลังเส้น (TC) AFET จะถือว่าลูกค้ารายดังกล่าวได้ทำการถือครองแบบ SPREAD (หรือที่ AFET เรียกว่า การถือครองข้อตกลงซื้อขายล่วงหน้าสองด้าน)

ทั้งนี้อัตรา MARGIN สำหรับการถือครองแบบ SPREAD นี้ จะถูกกำหนดไว้ในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราเงิน MARGIN สำหรับการซื้อหรือขายล่วงหน้าเฉพาะด้านซื้อหรือด้านขาย (ต่ำกว่าในอัตราร้อยละ 50 สำหรับ RSS3 และ BWR5 และ ร้อยละ 30 สำหรับ TC) ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการซื้อขายล่วงหน้าของ AFET สอดคล้องไปกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงในการทำธุรกรรมซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยทำให้ AFET เป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น