วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ผลกระทบ "บาท" ต่อภาคเกษตร

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 19 กรกฎาคม 2550

เรื่องที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดในแวดวงการเงินบ้านเรานาทีนี้หนีไม่พ้นเรื่อง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาแตะที่ระดับ 33 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (ขณะที่อัตรา offshore ไปแตะระดับต่ำสุดที่ 29 บาทกว่า ๆ ต่อ ดอลลาร์ แล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 16 ก.ค. 50 ผ่านมา) จากต้นปีอยู่ที่ 36.10 บาท/ดอลลาร์ คิดเป็นการแข็งค่าขึ้นประมาณ 8% ซึ่งแข็งค่ามากกว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคเดียวกันซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมการส่งออกของไทย ไม่ว่าจะเป็น สินค้าสิ่งทอ ยานยนต์ อัญมณี เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเกษตรทั้งแบบแปรรูป และ สินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบ

ประจวบเหมาะกับข่าวคราวเรื่อง การปิดโรงงานผลิตรองเท้าเพื่อส่งออก ที่ประกาศ ลอยแพพนักงานกว่า 4,000 คน ทำให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้างออกมาประท้วงปิดถนน แล้วก็มีสื่อบางรายนำเรื่องการปิดโรงงานดังกล่าวนี้ มาเชื่อมโยงกับการแข็งค่าของค่าเงินบาท (สาเหตุจริง ๆ ของการปิดโรงงานดังกล่าวอาจมิได้มาจากปัญหาค่าเงินเพียงอย่างเดียว) ทำให้ภาพของผลกระทบจากการที่บาทแข็ง ถูกฉายออกไปให้ทุกคนในประเทศอย่างชัดเจนที่สุด

รัฐบาลได้ตระหนักถึงปัญหาการปิดโรงงานนี้ จนถึงขนาดมีมติคณะรัฐมนตรี (ในวันที่ 17 กค 2550) ตั้งคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการปิดกิจการของสถานประกอบการ และการเลิกจ้างลูกจ้าง เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน แต่ให้ท่านโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานแทนนายกรัฐมนตรี เพื่อความสอดคล้อง และความรวดเร็วในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

สำหรับเรื่องนโยบายค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น ช่วงที่ผ่านมาก็มีครูบาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ที่สังคมให้การยอมรับหลายท่านออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ ธปท.ว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการยังคงบังคับใช้มาตรการสำรอง 30 % ที่ทำให้อัตราแลกเปลี่ยน onshore และ offshore มีการบิดเบือน (มีส่วนต่างกันถึงประมาณ 3 บาท ต่อ ดอลลาร์ เปรียบเทียบกับช่วงก่อนการใช้นโยบายนี้ อัตรา onshore และ offshore มีส่วนต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น)

แต่ที่เป็นที่ฮือฮาเห็นจะเป็นข้อคิดเห็นของท่านอาจารย์โกร่ง ดร.วีรพงษ์ รามารกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เสนอให้ท่านนายกลงมาดูแลปัญหาเรื่องค่าเงินด้วยตนเอง และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง ลดอัตราดอกเบี้ยแรง ๆ รวดเดียวเลย 1.0 – 1.5 % เลย เพื่อกดดันให้เงินบาทอ่อนลง ซึ่งอาจจะโดนใจหลายคนครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ที่รอลุ้นผลการประชุม กนง. ผู้ที่เข้าไปเข้าไปซื้อขายหุ้นในกลุ่มที่มีผลดีหากมีการลดดอกเบี้ย เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (ดอกเบี้ยลด ค่าผ่อนต่อเดือนถูกลง คนก็ซื้อได้บ้านมากขึ้น)

การแข็งค่าขึ้นของบาทในครั้งนี้ก็มีข้อดี ในส่วนของราคาน้ำมันจำหน่ายในประเทศเพราะถ้าอัตราแลกเปลี่ยนยังอยู่ที่ 36 บาทต่อดอลลาร์ เราคงต้องใช้น้ำมันเบนซินที่ลิตรละ 30 กว่าบาทกันไปเรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการรายหลายถือโอกาสซื้อเครื่องจักร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต รองรับความต้องการที่จะมาพร้อมกับสภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวหลังจากมีการเลือกตั้งในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า

วกกลับมาที่ผลของบาทแข็งที่จะมีผลกระทบต่อภาคเกษตร สินค้าเกษตรที่สำคัญของไทยล้วนเป็นสินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบ เพราะว่าสินค้าในตลาดโลกมีการโค๊ตราคากันเป็นดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจมีผลกระทบได้เป็น 2 กรณีได้แก่ กรณีที่ 1 สมมติว่า ราคาส่งออกในรูปของดอลลาร์ของสินค้าเกษตรของไทยคงเดิม แน่นอนว่าราคาที่เป็นบาทในประเทศจะต้องลดลง มีผลทำให้ราคาที่ผู้แปรรูปสินค้า และ เกษตรกรจะได้รับนั้นต้องถูกลง ทำให้รายได้ของเกษตรกรที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศลดลง และ กรณีที่ 2 ถ้าสมมติว่า เราคงราคาสินค้าเกษตรในประเทศเป็นบาทไว้เท่าเดิม ก็จะทำให้ราคาสินค้าเกษตรของไทยในตลาดโลกในรูปของดอลลาร์มีราคาสูงกว่าคู่แข่งซึ่งอาจกระทบถึงความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ล้วนเป็นผลร้ายต่อประเทศไทยทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี ผู้ได้รับผลกระทบทันทีโดยตรง ณ -ขณะนี้ คือผู้ส่งออกที่ไปรับออร์เดอร์ล่วงหน้าจากผู้ซื้อต่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์มาตั้งแต่ต้นปี สมมตินะครับว่าเป็นผู้ส่งออกแป้งมันสำปะหลัง ที่มีสัญญาว่าจะส่งแป้งลงเรือให้ผู้ซื้อ ณ สิ้นเดือน กค นี้ อีกทั้งสมมติว่าผู้ส่งออกรายนี้ยังไม่ได้ซื้อแป้งมันภายในประเทศเพื่อส่งออกและไม่ได้บริหารความเสี่ยงด้วยการซื้อล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ไว้เลย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วยวิธีการทำ Forward กับธนาคารพาณิชย์

ผลก็คือ ณ ปัจจุบัน ผู้ส่งออกรายนี้ต้องรับความเสียหายทั้งด้านราคาสินค้าแป้งในรูปของเงินบาท (ราคาแป้งตอนนี้แพงกว่าช่วงต้นปีอยู่ประมาณ 7%) และ ความเสียหายจากการที่บาทแข็งขึ้น (เสียหายประมาณ 8 %) รวมแล้วเสียหายไปประมาณ 15% จึงไม่น่าแปลกใจกับข่าวที่ว่ามีผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายเล็กหลายรายอาจต้องและกำลังต้องปิดกิจการลงในสภาวะการณ์ในปัจจุบัน

แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นถึงการบริหารความเสี่ยงในทุกด้านสำหรับผู้ประกอบการในภาวะที่ Profit Margin ต่ำ ดั่งเช่นปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น