ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 19 กรกฎาคม 2550
เรื่องที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดในแวดวงการเงินบ้านเรานาทีนี้หนีไม่พ้นเรื่อง
ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาแตะที่ระดับ 33 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (ขณะที่อัตรา offshore
ไปแตะระดับต่ำสุดที่ 29 บาทกว่า ๆ ต่อ ดอลลาร์
แล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 16 ก.ค. 50 ผ่านมา) จากต้นปีอยู่ที่ 36.10 บาท/ดอลลาร์ คิดเป็นการแข็งค่าขึ้นประมาณ
8%
ซึ่งแข็งค่ามากกว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคเดียวกันซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมการส่งออกของไทย
ไม่ว่าจะเป็น สินค้าสิ่งทอ ยานยนต์ อัญมณี เครื่องใช้ไฟฟ้า
สินค้าเกษตรทั้งแบบแปรรูป และ สินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบ
ประจวบเหมาะกับข่าวคราวเรื่อง
การปิดโรงงานผลิตรองเท้าเพื่อส่งออก ที่ประกาศ ลอยแพพนักงานกว่า 4,000 คน
ทำให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้างออกมาประท้วงปิดถนน
แล้วก็มีสื่อบางรายนำเรื่องการปิดโรงงานดังกล่าวนี้
มาเชื่อมโยงกับการแข็งค่าของค่าเงินบาท (สาเหตุจริง ๆ ของการปิดโรงงานดังกล่าวอาจมิได้มาจากปัญหาค่าเงินเพียงอย่างเดียว)
ทำให้ภาพของผลกระทบจากการที่บาทแข็ง ถูกฉายออกไปให้ทุกคนในประเทศอย่างชัดเจนที่สุด
รัฐบาลได้ตระหนักถึงปัญหาการปิดโรงงานนี้
จนถึงขนาดมีมติคณะรัฐมนตรี (ในวันที่ 17 กค 2550)
ตั้งคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการปิดกิจการของสถานประกอบการ
และการเลิกจ้างลูกจ้าง เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน แต่ให้ท่านโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานแทนนายกรัฐมนตรี เพื่อความสอดคล้อง
และความรวดเร็วในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สำหรับเรื่องนโยบายค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) นั้น
ช่วงที่ผ่านมาก็มีครูบาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ที่สังคมให้การยอมรับหลายท่านออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ
ธปท.ว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันมากน้อยเพียงใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการยังคงบังคับใช้มาตรการสำรอง 30 %
ที่ทำให้อัตราแลกเปลี่ยน onshore และ offshore มีการบิดเบือน (มีส่วนต่างกันถึงประมาณ 3 บาท ต่อ ดอลลาร์
เปรียบเทียบกับช่วงก่อนการใช้นโยบายนี้ อัตรา onshore และ offshore
มีส่วนต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น)
แต่ที่เป็นที่ฮือฮาเห็นจะเป็นข้อคิดเห็นของท่านอาจารย์โกร่ง
ดร.วีรพงษ์ รามารกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ที่เสนอให้ท่านนายกลงมาดูแลปัญหาเรื่องค่าเงินด้วยตนเอง
และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง ลดอัตราดอกเบี้ยแรง ๆ รวดเดียวเลย 1.0
1.5 % เลย เพื่อกดดันให้เงินบาทอ่อนลง ซึ่งอาจจะโดนใจหลายคนครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ที่รอลุ้นผลการประชุม กนง.
ผู้ที่เข้าไปเข้าไปซื้อขายหุ้นในกลุ่มที่มีผลดีหากมีการลดดอกเบี้ย เช่น
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (ดอกเบี้ยลด ค่าผ่อนต่อเดือนถูกลง คนก็ซื้อได้บ้านมากขึ้น)
การแข็งค่าขึ้นของบาทในครั้งนี้ก็มีข้อดี
ในส่วนของราคาน้ำมันจำหน่ายในประเทศเพราะถ้าอัตราแลกเปลี่ยนยังอยู่ที่ 36
บาทต่อดอลลาร์ เราคงต้องใช้น้ำมันเบนซินที่ลิตรละ 30 กว่าบาทกันไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้ประกอบการรายหลายถือโอกาสซื้อเครื่องจักร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต
รองรับความต้องการที่จะมาพร้อมกับสภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวหลังจากมีการเลือกตั้งในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
วกกลับมาที่ผลของบาทแข็งที่จะมีผลกระทบต่อภาคเกษตร
สินค้าเกษตรที่สำคัญของไทยล้วนเป็นสินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบ
เพราะว่าสินค้าในตลาดโลกมีการโค๊ตราคากันเป็นดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจมีผลกระทบได้เป็น
2 กรณีได้แก่ กรณีที่ 1 สมมติว่า
ราคาส่งออกในรูปของดอลลาร์ของสินค้าเกษตรของไทยคงเดิม
แน่นอนว่าราคาที่เป็นบาทในประเทศจะต้องลดลง มีผลทำให้ราคาที่ผู้แปรรูปสินค้า และ
เกษตรกรจะได้รับนั้นต้องถูกลง
ทำให้รายได้ของเกษตรกรที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศลดลง และ กรณีที่ 2
ถ้าสมมติว่า เราคงราคาสินค้าเกษตรในประเทศเป็นบาทไว้เท่าเดิม
ก็จะทำให้ราคาสินค้าเกษตรของไทยในตลาดโลกในรูปของดอลลาร์มีราคาสูงกว่าคู่แข่งซึ่งอาจกระทบถึงความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ล้วนเป็นผลร้ายต่อประเทศไทยทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดี ผู้ได้รับผลกระทบทันทีโดยตรง ณ
-ขณะนี้
คือผู้ส่งออกที่ไปรับออร์เดอร์ล่วงหน้าจากผู้ซื้อต่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์มาตั้งแต่ต้นปี
สมมตินะครับว่าเป็นผู้ส่งออกแป้งมันสำปะหลัง
ที่มีสัญญาว่าจะส่งแป้งลงเรือให้ผู้ซื้อ ณ สิ้นเดือน กค นี้
อีกทั้งสมมติว่าผู้ส่งออกรายนี้ยังไม่ได้ซื้อแป้งมันภายในประเทศเพื่อส่งออกและไม่ได้บริหารความเสี่ยงด้วยการซื้อล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
(AFET)
ไว้เลย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วยวิธีการทำ
Forward กับธนาคารพาณิชย์
ผลก็คือ ณ ปัจจุบัน
ผู้ส่งออกรายนี้ต้องรับความเสียหายทั้งด้านราคาสินค้าแป้งในรูปของเงินบาท
(ราคาแป้งตอนนี้แพงกว่าช่วงต้นปีอยู่ประมาณ 7%) และ
ความเสียหายจากการที่บาทแข็งขึ้น (เสียหายประมาณ 8 %) รวมแล้วเสียหายไปประมาณ 15%
จึงไม่น่าแปลกใจกับข่าวที่ว่ามีผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายเล็กหลายรายอาจต้องและกำลังต้องปิดกิจการลงในสภาวะการณ์ในปัจจุบัน
แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นถึงการบริหารความเสี่ยงในทุกด้านสำหรับผู้ประกอบการในภาวะที่ Profit Margin ต่ำ ดั่งเช่นปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น